JAS รับคุยพันธมิตรเสริมธุรกิจ ยัน “พิชญ์”ไม่ได้แจ้งขายหุ้น

HoonSmart.com>>JAS ชี้แจงตลาด รับเจรจาหาพันธมิตรทางธุรกิจ หาแหล่งเงินทุน เสริมศักยภาพแข่งขัน  ยืนยันไม่ได้รับแจ้งจากผู้ถือหุ้นใหญ่เปลี่ยนแปลงถือหุ้น DTAC ปฏิเสธข่าวสนใจซื้อจัสมินฯ บล.ดีบีเอสฯแนะซื้อเก็งกำไร ชี้เป้า 9.78 บาท ส่วนบล.เอเซียพลัสให้ขาย ราคาเหมาะสมเพียง 4.50 บาท

บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) ปฎิเสธข่าวการเจรจาขายหุ้นให้กับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศหลายราย และบริษัทไม่ได้รับแจ้งจากผู้ถือหุ้นใหญ่ (นายพิชญ์ โพธารามิก)ว่ามีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของการถือหุ้นแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม บริษัท ได้พิจารณาแผนการจัดหาแหล่งเงินทุนรองรับ ทั้งจากตลาดเงิน ตลาดทุน รวมถึงการหาพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อทำให้ศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจยังคงดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุป และบริษัทไม่ได้นำเงินไปชำระหนี้ตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด

ทางด้านบริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC)ได้ชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์ กรณีบริษัทมีข่าวว่าสนใจจะซื้อหุ้น JAS โดยขอปฏิเสธข่าวดังกล่าว

ราคาหุ้น JAS ปรับตัวลงต่อ 0.05 บาท เหลือ 6.25 บาท ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 2,674 ล้านบาท  วันที่ 24 ก.ค.  จากวันก่อนหน้าดิ่งลงแรงกว่า 17%

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) แนะนำซื้อเก็งกำไร หุ้น JAS เพราะราคาปรับตัวลงแรงเกินไป ให้ราคาพื้นฐาน 9.78 บาท ประเมินจากธุรกิจหลักพี/อี ปี2562 ที่ 6 เท่า และมูลค่าเงินลงทุน JASIF ที่ราคาพื้นฐาน 11.30 บาท ทั้งนี้ที่ราคาพื้นฐาน คิดอัตราผลตอบแทนปันผลปีนี้สูงถึง 10.3%

ขณะที่บล.โนมูระ พัฒนสินให้ราคาเป้าหมาย 6.30 บาท บล.เอเซียพลัสแนะนำขาย ให้ราคาเพียง 4.50 บาท  บล.กสิกรไทยให้มูลค่า 6.70 บาท และเงินปันผลพิเศษ 1.744 บาท/หุ้น

บล.ดีบีเอสฯระบุว่า ไตรมาส 2  กำไรสุทธิของ  JAS จะลดลงมาก เพราะฐานปีก่อนกำไรสุทธิสูงถึง 3,600 ล้านบาท มีกำไรพิเศษจากการขายหุ้น JASIF จำนวนมาก แต่หากคิดเฉพาะกำไรหลัก 501 ล้านบาท ใกล้เคียงกับ 470 ล้านบาท  ปรับตัวลงเพียง 6% สาเหตุหลักคือ อัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลง แต่สัดส่วนค่าใช้จ่ายขาย-บริหารเทียบกับรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้น สืบเนื่องจากการแข่งขันในตลาดให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่เพิ่มขึ้นมาก

ส่วนเงินปันผลพิเศษที่สูงยังจูงใจ ราคาขายเฟส 2 ครั้งที่1 ให้กับ JASIF คาดว่าเป็น 3.5 หมื่นล้านบาท สำหรับสินทรัพย์เป็นไฟเบอร์ ออฟติคที่ 6.5 แสนคอร์กิโลเมตรหากอ้างอิงอัตรากำไรที่ได้รับจากการขายสินทรัพย์เฟส 1 คาดว่ากำไรก่อนและหลังภาษีเป็น 1.16 หมื่นล้านบาท และ 9,200 ล้านบาทตามลำดับ  ทำให้กำไรสุทธิปี 2562 สูงถึง  1.14  หมื่นล้านบาท โตกระโดด  104%  อัตราการจ่ายปันผลที่ 80%  คาดว่าเงินปันผล 1 บาท/หุ้น  คิดเป็นอัตราผลตอบแทนถึง 15.9%  จะเป็นลำดับต้นๆใน SET ทั้งนี้มีสมมุติฐานอัตราการจ่ายปันผลที่ใช้ถือว่าอนุรักษ์นิยม เพราะ 2 ปีก่อนหน้าจ่ายในอัตรามากกว่า 100%