รายใหญ่ผวา AI จับปั่นหุ้น ก.ล.ต.หาหลักฐานแน่น ฟ้องอาญา

คอลัมน์ : แน่งน้อยร้อยเรื่องลงทุน ในวันนี้ เป็นคอลัมน์ใหม่ ขอเป็นส่วนหนึ่งในการบอกเล่าเรื่องราวของโลกการลงทุน ในฐานะที่มีประสบการณ์ในงานข่าวด้านตลาดทุนและตลาดเงินมานาน มีโอกาสสัมภาษณ์ผู้บริหารมากมาย  ขอนำข้อมูลที่ได้ฟังได้อ่านมาวิเคราะห์ มอบให้ผู้อ่านทุกคนค่ะ

 

ตอนนี้ นักลงทุนรายใหญ่ ต่างระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น เพราะกลัว….

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ภายใต้การนำของ “รื่นวดี สุวรรณมงคล “ เลขาธิการคนที่ 7 ประกาศบูรณาการการกำกับและตรวจสอบ เพื่อเพิ่มความเป็นธรรมในตลาดทุนไทย  และขยายวงกว้างออกไปถึงอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ โดยอาศัยความรู้ทางด้านกฎหมาย และซุปเปอร์คอนเน็กชั่น มาปิดจุดอ่อนที่เกิดขึ้นในอดีต

ก.ล.ต.ยุคนี้ ไม่เพียงแต่ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) เท่านั้น มีการเชิญผู้แทนของ DSI เข้าร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการด้านตรวจสอบและคดีของสำนักงานก.ล.ต. มาช่วยตรวจสอบและกลั่นกรองคดีเบื้องต้น ให้รัดกุมและสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ก่อนที่จะดำเนินการกล่าวโทษ”ผู้กระทำความผิด” และส่งฟ้องตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

ก.ล.ต.ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ ประกาศว่าจะมีการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ และอยู่ระหว่างการจัดเก็บข้อมูล ทำให้นักลงทุน ” ขนหัวลุก” เพราะเคยมีประสบการณ์ และเห็นความฉลาดเป็นเลิศของ “AI” มาแล้ว ผ่านการดูหนังฟังเพลงจากยูทูป สามารถรู้พฤติกรรมและเรื่องราวที่เราสนใจเป็นอย่างดี เพื่อนำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการอย่างรวดเร็วทันใจ

ก.ล.ต.จะพัฒนา AI ขึ้นมาเอง ทดแทนการใช้ระบบสำเร็จรูปจากเกาหลีในปัจจุบัน

AI จะทำหน้าที่ได้ดีอย่างที่ตั้งใจ หัวใจสำคัญคือ Big Data

ก.ล.ต.อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลมหาศาล และมีความหลากหลาย ใช้อัลกอริทึม นำมาวิเคราะห์ คาดว่าได้ข้อมูลเบื้องต้นภายในปี 2562

“สำคัญต้องมี Data ป้อนข้อมูลเข้าระบบ คนตั้งโจทย์ การเชื่อมโยง หาความถี่ เอาข้อมูลและประสบการณ์มาตั้งคำถาม ทำบ่อยๆ ระบบจะจดจำและเชื่องโยงหาความสัมพันธ์ได้เอง เชื่อว่าจะสามารถจับพฤติกรรมของนักลงทุน รู้แม้กระทั่งสไตล์การเล่น เพื่อนำไปสู่การเข้าชาร์จก่อนเกิดเหตุการณ์กระทำความผิด ช่วยลดความเสียหายที่จะเกิดลุกลามขึ้นเป็นวงกว้าง”

แต่หากเข้าประกบไม่ทันการณ์  มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นแล้ว เชื่อว่า AI จะช่วยหาหลักฐานได้จำนวนมาก และแน่นหนากว่าที่ผ่านมาได้อย่างแน่นอน เพื่อนำไปสู่การดำเนินคดีทางอาญาได้ เพราะไม่อยากเห็นการลงโทษ จบลงที่การดำเนินคดีทางแพ่งเหมือนในปัจจุบัน  “เคลียร์ง่ายและจบเร็ว” ทำให้คนทำผิดไม่เกรงกลัว และไม่หลาบจำ

นับตั้งแต่นำการดำเนินคดีทางแพ่งมาใช้ ปลายปี 2559 สถิติที่ผ่านมา การดำเนินคดีอาญาลดลงอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาส 2/2562 มี 8 ข้อหา จำนวน 7 ราย คิดเป็นเงินค่าปรับ 6.31 ล้านบาท ส่วนการกล่าวโทษมีเพียง 2 ราย ผู้ถูกกล่าวโทษ 10 ราย

ขณะที่การดำเนินคดีทางแพ่งมี 3 คดี จำนวน 16 ราย ค่าปรับเป็นเงิน 56.84 ล้านบาท ชดใช้เงินเท่าผลประโยชน์ที่ได้รับ 24.85 ล้านบาท แต่มี 35 รายไม่ยินยอมรับโทษ ขอต่อสู้ในชั้นศาล คิดเป็นจำนวนเงินที่ขอให้ศาลสั่งสูงถึง 2,235.35 ล้านบาท

คนทำผิดที่ขอต่อสู้ในชั้นศาล เพราะเชื่อว่ามีโอกาส”หลุด”  แต่เชื่อว่าตอนนี้และในอนาคตจะไม่ง่าย

เชื่อว่าการปรับกระบวนทัพครั้งใหญ่  มีการผสมผสานความร่วมมือของก.ล.ต. กับหน่วยงานหลายแห่ง  มีที่ปรึกษาอีกหลายคน รวมถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นของเลขาก.ล.ต.คนใหม่ พร้อมปรับทีมตรวจสอบ ปรับปรุงระบบการทำงาน เพิ่มเครื่องมือเข้าไปช่วยทำคดีแน่นหนาขึ้น สามารถเอาตัวคนผิดมาลงโทษให้ถึงที่สุดได้มากขึ้น คนทำผิดคงไม่หลุด เพราะสามารถ”พิสูจน์จนสิ้นสงสัย”ตามกระบวนการศาลอาญาได้  จากหลักฐานที่มัดตัว  ช่วยลดการเอารัดเอาเปรียบนักลงทุนรายย่อย  อาชีพ “ทำราคาหุ้น” หายไปจากตลาดหุ้นไทย   ทำให้ตลาดทุนไทยเติบโตด้วยสุขภาพที่แข็งแรงยิ่งขึ้น