4 แบงก์ใหญ่เจ็บหนัก 122,100 ลบ. ราคาถูกจนน่าซื้อลงทุน

HoonSmart.com>>นักลงทุนถล่มขายหุ้นแบงก์ใหญ่ไม่เลิก ภายหลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ช็อคตลาด กดดอกเบี้ยลง 0.25% เมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา จากวันนั้นจนมาถึงวันนี้ เพียง 5 วันทำการ (7-14 ส.ค. 2562)  มูลค่ากิจการของธนาคารใหญ่ 4 แห่ง ทรุดลงแล้ว 122,100 ล้านบาท โดยเฉพาะหุ้นของธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เสียหายหนักที่สุด 44,275 ล้านบาท มากกว่ากำไรสุทธิที่ลงแรงทำตลอดทั้งปี 2561 จำนวน 38,459 ล้านบาท

หุ้นแบงก์ใหญ่ที่เละเป็นโจ๊ก เป็นเพราะตกใจธปท.กดปุ่มดอกเบี้ยขาลงเร็วเกินไป แบงก์หนีไม่พ้นต้องลดดอกเบี้ยตาม ซึ่งยังคาดการณ์ไม่ได้ว่าจะเกิดขึ้นอีกกี่ครั้ง ส่วนต่างดอกเบี้ยที่แคบลง รวมถึงเศรษฐกิจขาลง ย่อมส่งผลกระทบต่อกำไรในปีนี้และปีหน้าอย่างแน่นอน

วันที่ 14 ส.ค. ที่ผ่านมา ธนาคารกสิกรไทยนำการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี MOR และ MRR ลง 0.25% ตามด้วย 3 แบงก์ แต่ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ขอลดดอกเบี้ย MOR เพียง 0.125% เท่านั้น

ความกังวลเรื่องแบงก์ต้องลดดอกเบึ้ยเกิดขึ้นจริงแล้ว ยิ่งทำให้ตลาดแตกตื่น นักลงทุนเทกระจาดหุ้นแบงก์ใหญ่ร่วงระเนระนาด

ความเสียหายที่เกิดขึ้นครั้งนี้รุนแรงกว่าที่นักวิเคราะห์และนักลงทุนคาดการณ์  เพราะแรงขายไม่ได้มาจากการลงทุนในตลาดหุ้นเท่านั้น ยังมีแรงทิ้งของ Block Trade ผสมด้วย

ตอนนี้เกิดคำถามว่า ถึงเวลา“ซื้อ”ได้แล้วหรือยัง

หากพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน ถือว่า“ถูก”จนน่าสนใจ ถ้าธนาคารเกิดอะไรขึ้นมา ขายกิจการทิ้งยังมีเงินเหลือติดกระเป๋า เมื่อพิจารณาจากสัดส่วนราคาต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชี (P/BV) ต่ำกว่า 1 เท่า

หุ้นธนาคารกรุงเทพ (BBL)ราคาปักหัวลงมาอยู่ที่ 123.50 บาท คิดเป็น P/E ประมาณ 9 เท่า และ P/BVเพียง 0.77 เท่า ธนาคารกรุงไทย(KTB) อยู่ที่ 17.50 บาท P/E 8.68 เท่า P/BV แค่ 0.80 เท่า ส่วน KBANK อยู่ที่ 155 บาท P/E 10.40 เท่า P/BV เหลือ 1 เท่า และ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ราคาปิดที่ 123.50 บาท P/E 11 เท่า P/BV ประมาณ 1 เท่าเท่านั้น

“ราคาหุ้นแถวนี้ ซื้อกินเงินปันผลก็คุ้มกว่าฝากแบงก์กินดอกเบี้ย เช่น BBL คาดว่าจะจ่ายเงินปันผลกลางปีนี้ หุ้นละ 2 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนประมาณ 1.61%  นอกจากนี้ SCB ยังจะมีเงินปันผลพิเศษ หลังจากมีกำไรจากการบริษัทประกันออกไป ”

ทางด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน  ประเมินว่า ธนาคารปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงเป็นไปอย่างที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในตลาดมีการปรับสมติฐานล่วงหน้าไปตั้งแต่สัปดาห์ก่อน โดยประเมินจะกระทบกำไรกลุ่มทั้งปีประมาณ 1-3 %  กำไรต่อหุ้นจะหายไปราว 0.4บาท/หุ้น ดังนั้นภาพการตอบรับปัจจัยลบเพิ่มเติมครั้งนี้ ถือเป็นช่วงท้ายของการปรับฐาน

“จิตรา อมรธรรม”  รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส คาดว่า ธนาคารปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ แต่ไม่ลดดอกเบี้ยเงินฝาก ส่งผลกระทบต่อกำไรของธนาคารแน่  จึงคาดว่า ราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวลงต่อตามความกังวล  ดังนั้นนักลงทุนที่ต้องการเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไร ยังรอต่อไปดีกว่า

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว มองเป็นจังหวะในการทยอยซื้อสะสม เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวลงมามาก

อย่างไรก็ตามตลาดยังต้องติดตามดูผลของการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ครั้งนี้ จะช่วยกระตุ้นสินเชื่อได้มากน้อยเพียงใด และจะช่วยลดหนี้เสียลงหรือไม่ หลังจากในช่วง 6 เดือนแรก สินเชื่อชะลอตัวลง ท่ามกลางเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มไม่สดใส