HoonSmart.com>>ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง โดยไม่แตะต้องดอกเบี้ยเงินฝาก ไม่ใช่ข้อมูลที่เป็นความจริงทั้งหมด เพราะก่อนหน้านี้ธนาคารแต่ละแห่งมีการปรับไส้ในดอกเบี้ยเงินฝากบ่อยมาก เพื่อบริหารสภาพคล่องและกระชับต้นทุนทางการเงิน ดูแลส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ให้ได้รับผลกระทบจากการลดดอกเบี้ยของลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR )และดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ให้น้อยที่สุด
สำนักข่าว www.HoonSmart.com ได้ตรวจสอบข้อมูลผ่านเว็บไซต์ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ พบว่า ธนาคารกรุงเทพ (BBL) มีการประกาศเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากถึง 8 ครั้งในปีนี้ ล่าสุดมีผลบังคับใช้วันที่ 9 ส.ค. 2562 ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ปรับบ่อยกว่า มากถึง 18 ครั้ง ล่าสุดมีผลวันที่ 10 ส.ค. 2562 เพียงแต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสำหรับลูกค้าทั่วไปเท่านั้นเอง
กรณีธนาคารกรุงเทพ มีการปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากสะสมทรัพย์พิเศษของลูกค้าที่เป็นสถาบันการเงิน จากที่เคยให้อัตรา 0.90% ลดลงมาเหลือ 0.65%
นอกจากนี้เคยรับเงินฝากประจำ 11 เดือน ให้อัตราดอกเบี้ย 1.625% ต่อปี สำหรับลูกค้าทุกประเภท ทั้งบุคคลธรรมดา นิติบุคคล หน่วยงานราชการ บริษัทประกันภัย บริษัทประกันชีวิตและนิติบุคคลที่ไม่แสวงหากำไร ล่าสุดกลับไม่ต้องการเงินฝาก 11 เดือนแล้ว รับเพียง 9 เดือน และ 12 เดือน จ่ายดอกเบี้ย 1.50-1.25% ต่อปี
การปรับเปลี่ยนดอกเบี้ยเงินฝากเฉพาะลูกค้าแต่ละกลุ่ม จะช่วยดูแล NIM ในครึ่งปีหลัง จากในไตรมาส 2/2562 ธนาคารแต่ละแห่งยังคงทำได้ดี อาทิ BBL อยู่ที่ 2.36% ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) 3.34% ธนาคารกรุงไทย (KTB) 3.24% และ SCB สูงถึง 3.45% ส่วนหนึ่งเกิดจากธนาคารไทยพาณิชย์ปรับกลยุทธ์เจาะสินเชื่อที่มีผลตอบแทนสูง แทนการเน้นสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีการแข่งขันรุนแรง เหมือนที่ผ่านมา
เมื่อธนาคารพาณิชย์ปรับตัวแล้ว ลูกค้ารายเล็ก อย่างเช่นผู้ที่ทำธุรกิจอยู่ในขณะนี้ หรือผู้ที่ต้องการรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้าน จะทำอย่างไรดี ในภาวะดอกเบี้ยขาลง และเศรษฐกิจไม่สดใส แนะนำว่าจะต้องทำการบ้านมากขึ้น เพื่อมองหาโอกาสในการลดค่าใช้จ่าย เช่นเดียวกับผู้ออมเงิน ที่จำเป็นต้องหาแหล่งเงินฝากที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น เพียงแค่ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ธนาคารต่างคนต่างให้ หรือหากต้องการสูงกว่านี้ ควรศึกษาหาผลิตภัณฑ์เงินฝากที่มีลูกเล่นหลากหลายพบว่ามีความน่าสนใจจำนวนมาก
“กรณีลูกค้าทั่วไป เงินฝากประจำหลายประเภท พบว่าธนาคารไทยพาณิชย์จ่ายดอกเบี้ยสูงกว่าธนาคารกรุงเทพ 0.25%”
ขณะที่ลูกค้ารายใหญ่ มากกว่า 5 ล้านบาท SCB กลับไม่ต้องการเงินฝาก ให้ดอกเบี้ยเพียง 1.40% น้อยกว่าลูกค้าทั่วไปที่ให้ 1.65%
ส่วนเงินฝากออมทรัพย์ ลูกค้ารายใหญ่ เช่น มากกว่า 50 ล้านบาท ธนาคารกรุงเทพยอมจ่ายให้ 0.625% เทียบกับบุคคลทั่วไปที่ 0.50%
ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย MRR ลง 0.25% มีผลให้ธนาคารทหารไทย และธนาคารของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ปรับลดตาม เพื่อช่วยการดำเนินธุรกิจให้กับลูกค้า โดยเฉพาะเอสเอ็มอี และเสริมสร้างการพัฒนาของเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน หลังจากปรับลดดอกเบี้ยอย่างพร้อมเพรียงกันแล้ว พบว่า SCB ยังคงมีอัตราดอกเบี้ย MRR สูงที่สุดในกลุ่มแบงก์ใหญ่ คือ 7.12% เทียบกับแบงก์อื่นไม่ถึง 7% ส่วนดอกเบี้ยเงินกู้ MOR ขอปรับลดเพียง 0.125% ลงมาอยู่ที่ 6.745% และยืนอัตราดอกเบี้ย MLR ที่ 6.025% ระบุว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำที่สุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์
“MRR มีความหมายสำหรับลูกค้ารายย่อย เพราะเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของสินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบ้าน เมื่อแบงก์ปรับลดลง ตามธรรมชาติ ลูกค้าที่ใช้อัตราดอกเบี้ยลอยตัว ก็จะมีค่าใช้จ่ายลดลง แต่หากจะให้ดี ควรจะหาโอกาสรีไฟแนนซ์ เพื่อได้เงื่อนไขที่ดียิ่งขึ้น”
ทางด้านบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผยว่า ธนาคารพาณิชย์ลดเฉพาะดอกเบี้ยเงินกู้ แต่ยังไม่ได้ปรับดอกเบี้ยเงินฝาก ส่งลผบวกสุทธิต่อระบบเศรษฐกิจและภาคธุรกิจผ่านต้นทุนทางการเงินที่ลดลง คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนให้ลูกค้าเอสเอ็มอี และรายย่อย รวมประมาณ 1.6-1.7 หมื่นล้านบาท ต่อปี ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ประมาณ 0.1% ของจีดีพี
นักวิเคราะห์บล.ฟินันเซียไซรัส ประเมินผลกระทบจากการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ขาเดียว โดยปรับลดราคาหุ้น BBLเหลือ215 บาทจากเดิมคาดไว้ 222 บาท SCB เหลือ 145 บาทจาก 152 บาท KBANK เหลือ 190 บาท จาก 212 บาทและ KTB เหลือ 21.70บาท จาก 23 บาท
นักวิเคราะห์และตลาดประเมินผลกระทบต่อกำไรของแบงก์นานไปจนถึงปี 2563 แต่น่าจะมีผลในระยะสั้นเท่านั้น เชื่อว่าธนาคารแต่ละแห่งปรับกลยุทธ์รับมือดอกเบี้ยขาลงได้ดีกว่าที่คาด รักษา NIM ได้ในระดับที่ดีพอควร แต่ที่น่ากังวลกว่าคือการขยายตัวของสินเชื่อดูเหมือนว่าจะปล่อยลำบากขึ้นเมื่อพิจารณาปัจจัยลบที่เข้ามากระทบรอบด้าน จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
