บล.บัวหลวงชี้จังหวะหุ้นสหรัฐฯ ร่วง ทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดี

HoonSmart.com>> หลักทรัพย์บัวหลวง มองช่วงตลาดหุ้นสหรัฐปรับฐาน ดัชนี S&P 500 Dow Jones และ NASDAQ ร่วงช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จังหวะสะสมหุ้นพื้นฐานดี พี/อีต่ำในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพื่อกระจายความเสี่ยง โอกาสทำกำไร ผ่านบริการลงทุนหุ้นต่างประเทศ “BLS Global Investing” พร้อมเปิดโผ “4 หุ้น Super Stock ระดับโลก” น่าลงทุน

นายรัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการหัวหน้าฝ่าย Global Investing บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง กล่าวว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นสหรัฐปรับฐาน โดยดัชนี S&P 500 ซื้อขายล่าสุดที่ 2,924 จุด (ตัวเลข ณ วันที่ 21 ส.ค.62) หรือลดลงประมาณ 3.4% จากจุดสูงสุดที่ 3,028 จุด (ตัวเลข ณ วันที่ 26 ก.ค. 2562) ถือเป็นจังหวะที่ดีในการทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดีที่มีค่า P/E Ratio ต่ำกว่า 30 เท่า โดยเฉพาะ “หุ้น Super Stock ระดับโลก” หลังปัจจุบันหุ้นชั้นนำหลายตัวราคาย่อลงมาถึงจุดที่น่าสนใจในการซื้อสะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว

สำหรับการลงทุนในระยะ 6 เดือนถึง 1 ปี ตลาดหุ้นสหรัฐยังถือว่าน่าสนใจ โดย 75% ของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P 500 ประกาศงบไตรมาส 2 ปี 2562 ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด ขณะที่อัตราดอกเบี้ยยังคงมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ และมีโอกาสลดลงอีกในอนาคต ฉะนั้นโอกาสที่ตลาดหุ้นสหรัฐจะปรับตัวลงอย่างรุนแรงเป็นไปได้ค่อนข้างยาก ที่สำคัญภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีโมเมนตัมที่ดี สะท้อนจากตัวเลขจีดีพีในช่วงไตรมาส 2 ปี 2562 ที่ออกมาดีกว่าคาดการณ์ของตลาดที่ระดับ 2.1% แม้จะเป็นการชะลอลง เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2562 ที่ “เติบโตสูงสุด” ในรอบ 3-4 ปี ที่ระดับ 3.2% ขณะที่ตัวเลขการจ้างงานยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 4% ด้านภาคการบริโภคยังคงเติบโตได้ดี และตัวเลขยอดค้าปลีกยังขยายตัวต่อเนื่อง

“ในช่วงที่หุ้นไทยทำกำไรไม่ง่าย นักลงทุนควรกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ต ซึ่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถือเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ รวมถึงมีหุ้นและ ETFs หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกการลงทุน เช่น SPDR S&P 500 ETF (SPY) ที่สร้างผลตอบแทนล้อไปกับบริษัทใหญ่ในดัชนี S&P 500 หรือจะเป็น Invesco QQQ Trust (QQQ) ที่สร้างผลตอบแทนล้อไปกับบริษัทเทคโนโลยีในดัชนี NASDAQ 100 สำหรับนักลงทุนที่ชอบหุ้นบริโภคก็สามารถลงทุนง่ายๆ ผ่าน ETF ที่ชื่อว่า Vanguard Consumer Staples ETF (VDC) ที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น เช่น โค้ก เป๊ปซี่ P&G Walmart นอกจากนี้ในตลาดสหรัฐฯ ยังมี Inverse Index ETF หรือ Short ETF ซึ่งเป็น ETF ที่สร้างผลตอบแทนตรงข้ามกับดัชนี เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดปรับฐาน เป็นต้น” นายรัฐศรัณย์ กล่าว

กูรูหลักทรัพย์ต่างประเทศ กล่าวต่อว่า สำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาการลงทุนระยะยาว จังหวะนี้อาจเป็นโอกาสที่จะเข้าสะสมหุ้นพื้นฐานดีใน “กลุ่มเทคโนโลยี” ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาด NASDAQ คือ 1.หุ้น Microsoft (MSFT) ผู้ผลิตและพัฒนาซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ เช่น Windows และMicrosoft Offices รวมถึงให้บริการ Cloud และเป็นเจ้าของ Skype และ LinkedIn ปัจจุบัน MSFT ถือเป็นบริษัทจดทะเบียนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ มีมูลค่าตลาดเกินประมาณ 1.02 ล้านล้านเหรียญ หรือประมาณ 31.5 ล้านล้านบาท โดยมีรายได้หลักจากผลิตภัณฑ์ Microsoft Office คิดเป็นสัดส่วน 26% และธุรกิจ Cloud คิดเป็นสัดส่วน 24% ของรายได้รวม

2.หุ้น Apple (AAPL) ผู้ผลิตและจำหน่ายมือถือ แท็บแล็ต คอมพิวเตอร์ รวมถึงให้บริการอื่นๆเกี่ยวกับเทคโนโลยี ถือเป็นบริษัทจดทะเบียนที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีมูลค่าตลาดประมาณ 27 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 2 เท่าของตัวเลขจีดีพีประเทศไทย ขณะที่ผลิตภัณฑ์ของ AAPL ยังมีผู้ใช้งานถึง 1.4 พันล้านเครื่องทั่วโลก โดยเป็น iPhone ทั้งหมด 900 ล้านเครื่อง ซึ่งรายได้หลักของบริษัทมาจากการขาย iPhone คิดเป็นสัดส่วน 62% ของรายได้รวม

ขณะเดียวกันยังแนะนำลงทุน “หุ้นกลุ่มค้าปลีก” ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาด NYSE และ NASDAQ คือ1.หุ้น Home Depot (HD) ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง ตกแต่ง ปรับปรุง อาคาร และที่อยู่อาศัยที่มีโครงสร้างธุรกิจคล้ายกับ บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) ปัจจุบัน HD เป็นหนึ่งในหุ้น defensive ชั้นดี เพราะเป็นค้าปลีกวัสดุที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีจำนวนร้านค้าทั้งหมด 2,200 แห่ง ในประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา และเม็กซิโก รวมถึงยังขายสินค้าผ่านร้านค้าปลีกอื่นๆอีก 4 แสนแห่ง

2. หุ้น Costco Wholesale (COST) ผู้ประกอบธุรกิจค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป ซึ่งมีรูปแบบการทำธุรกิจคล้ายกับ บมจ.สยามแม็คโคร (MAKRO) คือ เป็นให้บริการเฉพาะกับสมาชิกเท่านั้น และขายสินค้าในราคาที่ถูกกว่าร้านค้าปลีกทั่วไป แต่มีมูลค่าตลาดใหญ่กว่าถึง 20 เท่า ปัจจุบัน COST จัดเป็นบริษัทกลุ่มค้าปลีกที่ใหญ่อันดับ 3 ของโลก มีสาขาทั้งหมด 706 แห่งทั่วโลก

ปัจจุบันการลงทุนในหุ้นต่างประเทศสามารถทำได้สะดวกสบายมากขึ้น เพราะเมื่อหลายปีก่อน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ผ่อนคลายกฎเกณฑ์การนำเงินออกนอกประเทศ ถือเป็นโอกาสที่ดีที่นักลงทุนจะได้ลงทุนในหุ้นต่างประเทศ โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ผ่านบริการลงทุนต่างประเทศ “BLS Global Investing” เรากำหนดการฝากเงินครั้งแรกและโอนไปต่างประเทศขั้นต่ำเพียง 5 แสนบาท ส่วนฝากครั้งต่อไปไม่จำกัดขั้นต่ำ และไม่จำเป็นต้องคงเงินไว้จำนวนเดิม โดยนักลงทุนสามารถซื้อขายหลักทรัพย์ได้ผ่าน “ระบบซื้อขาย Global Invest” ที่ล้ำสมัย ซึ่งอำนวยความสะดวกด้วยการใช้ log-in เดียวกับหุ้นไทย รวมถึงยังมีระบบจัดการการเงินออนไลน์ โอน-ถอนเงินลงทุนต่างประเทศ และดูพอร์ตรวมการลงทุนง่ายๆ แค่ปลายนิ้ว