BGRIM-TSE ใกล้จบดีลซื้อกิจการ บีกริมฯ ลุ้นรายได้ทะลุเป้า 4.2 หมื่นลบ.

HoonSmart.com>>โรงไฟฟ้าโตก้าวกระโดด ด้วยวิธีซื้อกิจการ บีกริมฯ กำลังเจรจา 2-3 ดีล คาดปลายปีมีความชัดเจน สนใจร่วมทุนเวียดนามทำธุรกิจซื้อขายก๊าซ เดินหน้า COD  ต่างประเทศ รีไฟแนนซ์หนี้ลดดอกเบี้ย ปีนี้ตั้งงบลงทุน 1 หมื่นล้านบาท 5 ปี ทุ่ม 7 หมื่นล้านบาท ส่วนไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ สนใจซื้อโรงไฟฟ้าชีวมวล -โซลาฟาร์มกำลังการผลิตรวม 20-30 เมกะวัตต์

นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) เปิดเผยว่า บริษัทคาดในปีนี้รายได้น่าจะเติบโตมากกว่าเป้าหมายที่ 42,000 ล้านบาท หากสามารถปิดดีลการเข้าซื้อกิจการได้สำเร็จ  ขณะนี้กำลังเจรจาซื้อโรงไฟฟ้าทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มอีก 2-3 แห่ง คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในช่วงปลายปีนี้

นอกจากนี้ บริษัทเริ่มรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD)   3 โครงการ  ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ น้ำแจ ในลาว กำลังการผลิต 15 เมกะวัตต์ (MW) โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ประเทศเวียดนาม 2 โครงการ รวม 677 เมกะวัตต์  สิ้นปีนี้จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 2,896 เมกะวัตต์ และมั่นใจว่า 5 ปีจากนี้จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าในมือตามเป้าหมายที่ 5,000 เมกะวัตต์

ขณะเดียวกันอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) ปีนี้จะอยู่ที่ 26% จากปีก่อนที่ทำได้ 24-25%  จากราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลง เทียบกับค่าไฟฟ้าผันแปร (เอฟที) ที่คงที่จนถึงสิ้นปี มีส่วนต่างราคาเพิ่มขึ้น

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  BGRIM  กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาร่วมลงทุนทำธุรกิจซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) กับรัฐบาลเวียดนาม  คาดว่าจะมีความชัดเจนประมาณกลางปีหน้า  และยังสนใจที่จะร่วมลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าที่ประเทศเทศเวียดนามเพิ่มเติมด้วย โดยเฉพาะโครงการพลังงานลม  นอกจากนี้ต้องการให้รัฐบาลไทยเปิดเสรีการซื้อขาย LNG  ซึ่งต่างประเทศจำนวน 10 ราย สนใจที่จะขาย LNG ในราคาถูกให้กับบริษัท  ปัจจุบันบริษัทมีต้นทุนก๊าซธรรมชาติคิดเป็น 70% ของต้นทุนทั้งหมด  ซื้อจากบริษัทปตท. (PTT) เพียงรายเดียว ภายในสิ้นปีนี้  จะได้ข้อสรุปว่าจะซื้อก๊าซ LNG จาก ปตท.เช่นเดิมหรือไม่

นายนพเดช กรรณสูตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน BGRIM กล่าวว่า บริษัทตั้งงบลงทุนปีนี้ไว้ที่ 10,000 ล้านบาท  รองรับการเข้าซื้อกิจการ และพัฒนาโครงการเดิม ส่วนแผน 5 ปี (ปี 2562-2566) ตั้งงบไว้ที่ 75,000 ล้านบาท  นอกจากนี้ยังศึกษาที่จะรีไฟแนนซ์หนี้ที่มีอยู่จำนวน 60,000 ล้านบาท ซึ่งรีไฟแนนซ์ไปแล้ว 30,000 ล้านบาท  โดยตั้งเป้าจะลดต้นทุนทางการเงินลงเหลือ 4-4.5% จากปัจจุบันที่ 4.5%

ทางด้าน นางสาวแคทลีน มาลีนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ (TSE) คาดว่า ผลงานในครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก มีโครงการที่เริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มอีก 45.7 เมกะวัตต์ ทำให้มีกำลังการผลิตรวม 305.6 เมกะวัตต์ในปีนี้

แนวโน้มการดำเนินงาน บริษัทยังคงเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 100-200 เมกะวัตต์ภายในระยะเวลา 2-3 ปี เน้นลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปัจจุบันกำลังเจรจาซื้อกิจการโรงไฟฟ้าชีวมวล และโซลาฟาร์มกำลังการผลิตรวมราว 20-30 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนปลายปีนี้ 1-2 โครงการ  นอกจากนี้ยังมีการศึกษาการซื้อกิจการโซลาฟาร์มในเวียดนามกำลังการผลิตรวมราว 50-100 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในไตรมาส 4/2562  รวมถึงการยื่นประมูลสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการโซลาฟาร์มในมาเลเซีย ช่วงเดือน ก.พ.2563 ขนาดกำลังการผลิต 70 เมกะวัตต์ เบื้องต้นคาดว่าจะมีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 49% และยังศึกษาการลงทุนในไต้หวัน โครงการโซลาฟาร์ม กำลังการผลิตราว 10-20 เมกะวัตต์