GPSC : กิมเอ็งแนะ “ถือ” รอการเติบโตธุรกิจโรงไฟฟ้า-แบตเตอรี่

เมย์แบงก์กิมเอ็ง แนะ “ถือ” GPSC รอการเติบโตเด่นที่สุด คือ การสร้างโรงไฟฟ้าเสนับสนุนกลุ่ม ปตท. ปีนี้สรุปสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม 300 เมกกะวัตต์ กดราคาเป้าหมาย 53 บาท ต่ำกว่าตลาด

บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์กิมเอ็ง แนะนำ ถือ หุ้น GPSC (บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ ) สำหรับผู้มีหุ้นอยู่แล้ว ราคาเป้าหมาย 53 บาท รอการเติบโตในอนาคต เชิงกลยุทธ์จาก PER ที่ 32 เท่า และ PBV ที่ 2.8 เท่า และ ผลตอบแทนจากเงินปันผลปี 2561 ที่ 1.9% เรามองว่า BGRIM น่าสนใจกว่าในกลุ่มโรงไฟฟ้า

ประเด็นการลงทุน จากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ ผู้บริหารให้มุมมองต่อแนวโน้มการเติบโตของ GPSC ในอนาคต หลังโครงการที่อยู่ในแผน ได้แก่ โครงการน้ำลิก 1 (NL1) และไซยะบุรี (XPCL) แล้วเสร็จในปี 2562 แต่ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องของสัญญา และระยะเวลาในการก่อสร้างและเปิดดำเนินงาน แม้มุมมองเชิงบวกต่อโอกาสเติบโตในอนาคตของ GPSC โดยเฉพาะภายในกลุ่ม PTT แต่จาก Valuation ได้สะท้อนมุมมองเชิงบวกดังกล่าวไปแล้ว จากหุ้นที่ปรับสูงกว่าราคาเป้าหมาย SOTP จึงแนะนำ ถือ

แผนการเติบโตในอนาคต

ยังเน้นในกลุ่ม PTT ต่างประเทศ และ แบตเตอรี่ โอกาสเติบโตเด่นที่สุด คือ การสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อสนับสนุนแผนการลงทุนของกลุ่ม PTT คาดว่าจะได้ข้อสรุปการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม 300 MW ภายในปีนี้

ส่วนอีกประเด็นที่ตลาดให้ความสนใจ ได้แก่ แผนการปรับโครงสร้างโรงไฟฟ้าในกลุ่มที่ปัจจุบันยังอยู่ภายใต้บริษัทอื่น ให้มาอยู่กับ GPSC ที่เป็น Flagship ในธุรกิจนี้ ในส่วนของการเติบโตในต่างประเทศ ได้แก่โรงไฟฟ้าในนิคมฯ ในประเทศเมียนม่า และโครงการน้ำในประเทศลาว นอกจากนั้นยังมีแผนที่จะผลิตไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ขนาด 100 MWh ภายในปี 2562 โดยจะทดสอบภายในกลุ่ม PTT ว่าจะสามารถนำไปสู่การผลิตเพื่อขายเชิงพาณิชย์ได้หรือไม่ กลยุทธ์การเติบโตดังกล่าวยังไม่ความชัดเจนจนกว่าจะมีการลงนามสัญญา เราจึงจะสามารถประเมินและรวมไว้ในประมาณการได้ต่อไป

โครงการระหว่างก่อสร้างเป็นไปตามแผน
โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่ โครงการ NL1 ในประเทศลาว มีความคืบหน้าเร็วกว่าแผนเล็กน้อย คาดจะ COD ใน 1Q62 โครงการ XPCL คืบหน้าตามแผนที่จะเปิด COD ในเดือน ต.ค. 2562 โครงการ CUP 4 ผู้รับเหมา EPC กำลังเริ่มเข้าดำเนินงาน โครงการนี้มีแผน COD ในปี 2562

ความเสี่ยง
การชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจในประเทศและอาเซียน, ความล่าช้าของโครงการก่อสร้าง, ราคาขายไม่สอดคล้องต้นทุน, อัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน