คอลัมน์ความจริงความคิด : เก่ง หรือ โชค หรือ หลอก

โดย…สาธิต บวรสันติสุทธิ์, CFP

เป็นไงบ้างครับ สัปดาห์ที่ผ่านมา หลายคนคง happy หุ้นที่ติดดอยไว้ ก็เริ่มจะลงจากดอยได้บ้างแล้ว ขณะที่อีกหลายคนก็คงเสียดายที่ยังไม่ได้ซื้อ RMF, LTF เลย กะว่าหุ้นตกลงมากกว่านี้ค่อยซื้อ ตอนนี้ก็เลยมานั่งลุ้นให้สัปดาห์นี้หุ้นตกอีกที จะได้เข้าไปซื้อใหม่ แต่ถ้าหุ้นตกจริงๆ จะซื้อหรือรอให้หุ้นตกต่ออีก อันนี้ต้องถามใจตัวเองนะ แต่สุดท้าย เราจะตัดสินว่าเราตัดสินใจถูกตอนไหน ส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีตัดสินง่ายๆ ถ้าหุ้นตอนปลายปีสูงกว่าต้นทุนที่เราซื้อ ก็ว่าเราเก่ง แต่ถ้าหุ้นตอนปลายปีถูกกว่าต้นทุนที่เราซื้อ ก็ว่าเราไม่เก่ง แปลว่าเราเอาผลลัพธ์สุดท้ายมาตัดสินว่าเก่งหรือไม่เก่ง

ว่าไปแล้ว ก็เหมือนกับ line group นึงที่ผมเป็นสมาชิกอยู่ group manager คนนี้ทุกๆวันก็จะแนะนำหุ้นให้วันละ 2 ตัว พร้อมทั้งข้อมูลสนับสนุน และราคาเป้าหมาย ก็มีคนติดตามอยู่พอสมควร ถามว่าแม่นยำหรือไม่ สำหรับผม เมื่อลองพิจารณาเทียบกับหุ้นที่ broker หลายๆที่แนะนำ ความแม่นยำก็ไม่ได้แตกต่างกัน มีบางตัวแนะนำไปแล้ว ราคาก็นิ่ง ไม่ได้เคลื่อนไหว บางตัวกลับปักหัวลงอีกต่างหาก มีบ้างบางตัวที่ขึ้นจริงอย่างที่แนะนำ

แต่สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้ ก็คือ อารมณ์ของคนใน line group วันไหนถ้าหุ้นที่ให้มาขึ้นจริง วันนั้นจะชมกันใหญ่เลย แม่นสุดๆ แต่วันไหนหุ้นไม่เป็นไปตามที่คุย ก็บ่นว่ากันสุดๆเหมือนกัน แต่กลับ line group ของพวก broker ที่ผมเป็นสมาชิกเหมือนกัน กลับไม่ค่อยใครบ่นด่าหรือชม broker กันมากนัก ส่วนใหญ่ก็แค่ถามว่าหุ้นจะไปต่อ หรือ ควร cut ดี ฯลฯ

ลองมาคิดหาเหตุผลเล่นๆว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้
เหตุผลหนึ่งที่ผมประเมินก็คือ การให้ความคาดหวังกับผลลัพธ์ เพราะ line group นั้น มักจะฟันธงตลอดเวลา ให้รีบซื้อให้หมด จะลิ่งชัวร์ (ไม่รู้ที่ว่าลิ่ง คือ ซีลลิ่ง หรือ รุ่งริ่ง) โดยที่ข้อมูลสนับสนุนก็ขาดแหล่งที่มาที่ชัดเจน แม้มีบางคนถามเหมือนกันว่าข้อมูลมาจากไหน เชื่อถือได้หรือไม่ สุดท้ายคนที่ถามจะถูกเตะออกจาก line group ทันที เหมือนเป็นคำตอบจาก group manager ทำนองว่า ห้ามถาม ให้เชื่ออย่างเดียว ถ้าไม่เชื่อก็ออกไป คนใน line group จึงประเมินความเก่งของ group manager จากความแม่นยำในการทำนายหุ้น

ไม่ว่าจะเป็น line group ที่ผมกล่าวถึง หรือ ความเก่งในการซื้อ RMF, LTF ได้ถูกกว่าราคาปิดสิ้นปี ทั้ง 2 เหตุการณ์ล้วนเหมือนกัน คือ เราตัดสินความถูกต้อง ความเก่ง ด้วยผลลัพธ์ที่ได้ ซึ่งเป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นทั่วไปไม่เฉพาะสังคมไทย ที่เรามักตัดสินคนอย่างฉาบฉวย อย่างเช่น เห็นคนไหนรวย ก็ว่าเขาเก่ง เขาดี เป็นคนที่สำเร็จในชีวิต  หรือ เห็นคนไหนกำไรหุ้นเยอะๆ ก็ว่า เขาเป็นเซียนหุ้น เห็นคนไหนมีความเห็นต่างจากคนที่เราเคารพรัก ก็ว่าไม่ดี เป็นต้น  พฤติกรรมการตัดสินจากผลลัพธ์อย่างนี้ ฝรั่งเรียกว่า Deflection to the Result แปลว่า ความโน้มเอียงในการตัดสินใจโดยการพิจารณาจากผลลัพธ์

เพราะพฤติกรรมอย่างนี้ เราจึงเห็นพวกบริษัทโฆษณาใช้ประโยชน์จากพฤติกรรมนี้ด้วยการแสดงภาพคนรวยหรือคนมีชื่อเสียง เช่น ดารา ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เขาโฆษณาอยู่ เมื่อเราเห็นโฆษณาดังกล่าว ก็จะตัดสินว่าคนรวย คนมีชื่อเสียง ดารา ใช้ผลิตภัณฑ์นั้นๆ ซึ่งจริงๆอาจใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ แต่ที่แน่ๆ คนเหล่านั้นได้เงินจากการโฆษณา

จริงแล้ว การที่ผลลัพธ์ดี อาจไม่ได้มาจากความเก่ง หรือ การตัดสินใจที่ถูกต้องเสมอไป เหมือนอย่างที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยๆ สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริง เพราะผลลัพธ์มาจากกระบวนการและสิ่งที่เริ่มต้น

ถ้าสิ่งที่เริ่มต้น คือ วัตถุดิบ ถ้าวัตถุดิบคุณภาพดี กระบวนการผลิตดี ผลิตภัณฑ์ที่ได้ย่อมมีคุณภาพดี หรือ อย่างการลงทุน ถ้าเรามีความรู้ดี มีข้อมูลที่ดี มีกระบวนการวิเคราะห์และตัดสินใจการลงทุนที่ดี ผลลัพธ์การลงทุนก็ย่อมจะดี แต่ถ้าเราไม่ศึกษาหาความรู้เลย กระบวนการตัดสินใจลงทุนก็เล่นง่ายๆอาศัยเขาเล่าว่า ผลลัพธ์การลงทุนก็ย่อมไม่ดี เหมือนอย่างคนที่เชื่อ line group manager ที่ผมบอก หรือ แม้แต่คนที่เชื่อ broker แนะนำ ลงทุนโดยไม่ศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม ผลลัพธ์การลงทุนก็ย่อมไม่ได้อันนี้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ดี ทำชั่วได้ชั่ว

แต่ก็มีเหมือนกันนะ ที่บางครั้งที่คนลงทุนไม่ได้มีความรู้เรื่องการลงทุนเลย หรือ มีก็น้อยมาก กระบวนการลงทุนไม่ได้ดีเลย ไม่มีการทำการบ้าน ไม่มีการหาข้อมูล ไม่มีการวิเคราะห์ แต่ผลลัพธ์การลงทุนกลับได้ดี อันนี้พบมากในภาวะหุ้นกระทิง ที่ซื้อหุ้นตัวไหน ก็กำไรทั้งนั้น ทำให้คนหลงผิดคิดว่าตนเองเป็นเซียนมีเยอะมาก บางคนถึงขนาดออกมาเขียนเป็นหนังสือแนะนำการเล่นหุ้นขายเลย อันนี้ไม่เรียกว่าเก่งครับ แค่เรียกว่า โชคช่วยเท่านั้น เหมือนอย่างใน line group หรือ broker ที่เราเป็นสมาชิกอยู่ ลองสังเกตดูนะว่าเขาเก่งจริง หรือ แค่โชคช่วย หรือแย่กว่านั้น คือให้ข้อมูลหลอกๆแก่เราเพื่อประโยชน์ของเขาเอง

สุดท้ายขอฝากคำพูดของ Warren Buffett ที่ ว่า” เมื่อกระแสน้ำลดลงมาเท่านั้นคุณจะค้นพบว่าใครว่ายน้ำเปลือยกาย” หมายความว่า เราจะรู้ว่าใครคือเก่งจริง ก็ต่อเมื่อผ่านวิกฤติเท่านั้น เพราะคนที่ไม่เก่งจริงสุดท้ายก็ไม่มีอะไรเหลือ