STEC น่าสน ราคาต่ำ มาร์จิ้นฟื้น รายได้โต งานในมือเยอะ 9.3 หมื่นลบ.

HoonSmart.com>>บิ๊กซิโน-ไทยฯรับประกัน กำไรไตรมาส 2 ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว  แนวโน้มจะดีขึ้น   3 ปี รายได้แรงไม่มีตก  งานใหม่เข้ามาเพียบ Backlog กว่า 9.3 หมื่นล้านบาท  ส่วนกำไรนักวิเคราะห์ไม่แน่ใจ ปรับลดเป้าหมายปีนี้-ปีหน้าลง  

นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) พบนักวิเคราะห์ โดยยืนยันว่า กำไรและอัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) ของบริษัทผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แนวโน้มจะดีขึ้น คาด 3 ปีข้างหน้ารายได้จะสร้างสถิติสูงสุดใหม่ ในปีนี้จะทำได้ประมาณ 3-3.2 หมื่นล้านบาท ในปีหน้า 3.7-3.8 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันงานในมือที่รอรับรู้รายได้( Backlog) กว่า 9.3 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะมีงานใหม่เข้ามาอย่างน้อย 4 โครงการ ขณะที่นักวิเคราะห์ยังไม่แน่ใจ และ 6 เดือนแรกต่ำกว่าคาดมาก จึงปรับลดประมาณการกำไรปีนี้และปีหน้าลง บล.คิงส์ฟอร์ดหั่นเหลือ 1,250 ล้านบาท ลดลง 22%จากปีก่อน บล.ฟินันเซีย ไซรัส ให้ 1,000 ล้านบาท ปีหน้า 1,300 ล้านบาท โต 28%

บล.คิงส์ฟอร์ด แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 23.50 บาท คาดผลงานครึ่งปีหลังน่าจะทรงตัวใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก หลังจากผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาสที่ 2 ไปแล้ว อยู่ที่ 267 ล้านบาท  ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ ปัญหาหลักมาจากต้นทุนที่สูงขึ้นกดดันให้มาร์จิ้นลดลงมาอยู่ที่ระดับ 5% เทียบกับที่ทำได้ประมาณ 7-8% ก่อนหน้านี้ ส่วนหนึ่งมาจากงานรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-ชมพู และส้ม ซึ่งต้องมีการรื้อถอนและขยายระบบสาธารณูปโภค (ท่อประปา) ของหน่วยงานราชการที่อยู่ตามเส้นทาง ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น หลังการแก้ไขก็จะสามารถทำงานได้เร็วขึ้นส่งผลให้อัตรากำไรมีทิศทางที่ดีขึ้น

ปัจจุบันบริษัทมี Backlog กว่า 9.3 หมื่นล้านบาท คาดรายได้ก่อสร้างทั้งปีอยู่ที่ 3.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% กำไรสุทธิไตรมาส 3 อยู่ที่ระดับ 290 ล้านบาท ลดลง 24% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาส 2 หลักๆ ยังมาจากงานรถไฟฟ้าและโรงไฟฟ้า ซึ่งเริ่มที่จะควบคุมต้นทุนการการก่อสร้างได้ดีขึ้น สำหรับ SG&A ก็มีโอกาสลดลง เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายการประมูล เหมือนไตรมาส 2

ความน่าสนใจของ STEC อยู่ที่ครึ่งปีหลังบริษัทเริ่มได้งานมอเตอร์เวย์ 2 เส้นทางในราคาที่ต่ำกว่าราคากลางถึง 36% จะกระทบผลการดำเนินงานในอนาคตหรือไม่ เบื้องต้นทางได้ให้ข้อมูลว่าทางกลุ่มพันธมิตรลดราคาลงมา ส่วนใหญ่เป็นงาน O&M ขณะที่งานก่อสร้างไม่ได้ลดมากนัก ดังนั้นผลกระทบเชิงลบของ STEC น่าจะน้อยกว่าผู้ประกอบการอื่นในกลุ่ม งานรัฐสภาจะยังไม่เสร็จในปีนี้ แต่จะเสร็จและพร้อมส่งมอบในช่วงปลายปี 2563 ความคืบหน้า ณ สิ้นปี 2562 จะอยู่ประมาณ 70% และจะไม่มีการตั้งสำรองเพิ่ม

ส่วนงานใหม่ที่ STEC มีโอกาสได้อย่างน้อย 4 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภามูลค่า 2.9 แสนล้านบาท ซึ่ง STEC เข้าร่วมประมูลกับกลุ่ม BBS (JV) 2.งานก่อสร้างหมอชิตแลนด์มูลค่าประมาณ 6-7 พันล้านบาท 3. งานก่อสร้างบางกอกมอลล์มูลค่าประมาณ 3-4 พันล้านบาท 4. งานรถไฟฟ้าสายสีส้มมูลค่า 8.5 หมื่นล้านบาทคาดว่าจะประมูลในช่วงต้นปี 2563 แต่ปลายปีนี้อาจจะเห็นการเปิดขายซอง

“ราคาหุ้นรับเหมาลงไปมาก เราประเมินความเสี่ยงราคาหุ้นค่อนข้างจำกัด แต่ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิของปีนี้ลงมาที่ระดับ 1,250 ล้านบาท ลดลง 22%จากปีก่อนหรือลดลงมาจากประมาณการเดิม 13% สะท้อนแรงกดดันจากงานใน Backlog ส่วนที่ใกล้จะเสร็จหลายงานมีอัตรากำไรต่ำลง “บล.คิงส์ฟอร์ดระบุ

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ยังคงแนะนำ “ถือ” ปรับราคาเป้าหมายปีหน้า 21.50 บาท และปรับลดกำไรปี2562-2563 ลงเฉลี่ย 30% เป็น 1,000 ล้านบาทในปีนี้ ลดลง 36%  และ 1,300 ล้านบาทปีหน้า เพิ่มขึ้น 28% แม้ว่ากำไรครึ่งปีหลังจะฟื้นแต่ไม่กลับไปอยู่ในระดับสูงเหมือนไตรมาส 1 เพราะงานที่มาร์จิ้นสูงส่งมอบไปเกือบหมดแล้ว จุดแข็งยังอยู่ที่ Backlog สูงถึง 9.3 หมื่นล้านบาท รองรับรายได้ได้ 3 ปีและเดินหน้าตุนงานใหม่และเลือกงานที่มีมาร์จิ้นดีเป็นหลัก

บล.หยวนต้า แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 24.80 บาท ครึ่งปีหลังมาร์จิ้นมีโอกาสฟื้นตัวจากงานโรงไฟฟ้า ศรีราชา และ จะนะ เริ่มทยอยรับรู้รายได้ ซึ่งยังอยู่ในกรอบ 6% ใกล้เคียงที่เราประมาณการ ส่วนรถไฟฟ้าสายสีส้ม-ชมพู-เหลือง ยังคงรับรู้เพิ่มขึ้นตามความคืบหน้าของงาน คาดรายได้ในเบื้องต้นอยู่ที่ราว 1.6-1.7 หมื่นล้านบาท บริษัทยืนยันโครงการรัฐสภาจะไม่มีการตั้งสำรองเพิ่ม คาดจะส่งมอบงานในช่วงปลายปีหน้า

ส่วนโครงการที่บริษัทคาดหวังเช่น โครงการสนามบินอู่ตะเภา เป็นงานก่อสร้างราว 6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น 3 เฟส เฟสแรก ราว 2 หมื่นล้านบาท และคาดหวังได้งานภาคเอกชนราว 3-4 พันล้านบาท ช่วงปลายปีนี้ถึงปีหน้า เดินหน้าโครงการหมอชิตแลนด์ คาดเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2566

“การฟื้นตัวของมาร์จิ้นและผลประกอบการของ STEC ยังคงเป็นที่จับตา จุดเด่นอยู่ที่การมีงานในมือสูง ยังคงผลักดันรายได้ให้มีความต่อเนื่องที่ดี เราประมาณการรายได้ ในปี 2562-2564 เติบโตเฉลี่ย 11 % มาร์จิ้นเฉลี่ย ราว 5-6% มีภาพบวกจากการรับงานใหม่ของภาครัฐ ภาคเอกชน ในช่วง 2-4 ปีข้างหน้า” บล.หยวนต้าระบุ

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร”ช่วงราคาอ่อนตัว ให้เป้าหมาย 22 บาท/หุ้น ผลงานฟื้นตัวแต่กำไรไม่เด่น ขณะที่มีบริษัทรับเหมาจีนชนะการประมูลงาน แสดงภาพการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น โครงการที่ STEC ลงทุน หรือ ร่วมลงทุนจะคาดหวัง IRR ประมาณ 10-12% และยังได้งานก่อสร้างเพิ่ม

บล. ทิสโก้ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 22 บาท คาดมาร์จิ้นจะเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง และ 2563-2564 หลังจากที่งานอัตรากำไรต่ำได้เริ่มเสร็จสิ้นไปแล้ว

บล.ธนชาต แนะนำให้ซื้อราคา 24 บาท ไม่เปลี่ยน ปัจจุบันซื้อขายที่ P/E 23-27 เท่าในปี 2563-2564 เป็นระดับกรอบร่างของช่วงการซื้อขายในอดีต 25-40 เท่า