PTTEP-PTT เด่นสุด คาดน้ำมันแตะ 62 ดอลล์ เลี่ยงแบงก์-วัสดุก่อสร้าง-โลจิสติกส์

HoonSmart.com>>สัปดาห์นี้โลกไม่ปกติ  ราคาน้ำมันดิบพุ่งแรง  เอเซียพลัสคาดดูไบแตะ 62 เหรียญ หุ้นพลังงานไม่ได้ประโยชน์ทุกตัว  ส่วนเฟด เสียงส่วนใหญ่คาดลดดอกเบี้ย 0.25%  กดดันค่าเงินเอเชีย-บาทอ่อนตัว หนุนส่งออก อิเล็กทรอนิกส์ เศรษฐกิจอ่อนแรง กระเทือนปิโตรเคมี

วันที่ 16 ก.ย. ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าปรับตัวขึ้นแรงมากกว่า 10% ก่อนที่จะผ่อนคลายลง หลังจากผู้นำสหรัฐ “ทรัมป์” ทวิตเตอร์ แหล่งสำรองน้ำมันดิบของสหรัฐเพียงพอที่จะรักษาอุปทานน้ำมันในตลาดและตรึงราคาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม  ขณะที่ผู้ผลิตน้ำมันดิบอันดับ 1 ของโลก ซาอุดิอาระเบียหยุดผลิตน้ำมันไป 50% ของกำลังการผลิตทั้งหมด  ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ส่งผลบวกต่อหุ้นพลังงาน ขณะที่มีแรงขายหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากต้นทุนพลังงานสูงขึ้น รวมถึงหุ้นแบงก์ใหญ่ ทำให้ดัชนีปิดที่ 1,662.93 จุด บวก 0.97 จุด นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้น 1,069 ล้านบาท  ซื้ออนุพันธ์ 6,955 สัญญา ขณะที่ขายตราสารหนี้ 1,403 ล้านบาท  ส่วนค่าเงินบาทเคลื่อนไหวแคบๆ ปิดที่ 30.50 บาท  ทองคำในประเทศราคาเพิ่มขึ้นบาทละ 150 บาท

ราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นแรง ส่งผลให้ราคาหุ้นพลังงานผันผวนเปิดบวก แต่ปิดติดลบ มี PTT  แข็งแกร่ง ปิดที่ 47 บาท บวก 3% และ PTTEP ปิดที่ 125 บาท บวก 2% อ่อนแรงเล็กน้อยจากราคาเปิดที่ 127 บาท แม้ว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เทคะแนนให้เป็นหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบโดยตรง ส่วนโรงกลั่นมองแตกต่างกัน เพราะค่ากลั่นและต้นทุนจะได้รับผลกระทบ   แต่จะมีโอกาสได้กำไรจากสต็อก   จึงไม่แนะนำ

บล.เอเซียพลัส คาดแนวโน้มราคาน้ำมันดูไบยืนบริเวณ 62 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากซาอุดิอาระเบียหยุดผลิตน้ำมันไป 50%  และจะกระทบต่อการส่งออก  โดยสมมติฐานที่ฝ่ายวิจัยฯคาดไว้ที่ 60 เหรียญในปี 2562 และนับจากปี 2563 เป็นต้นไปคาดที่ 65 เหรียญฯ ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะช่วยผลักดันให้หุ้นไทยกลับมาปรับตัวขึ้นดีกว่าตลาดหุ้นประเทศอื่นๆได้ในช่วงที่เหลือของเดือนก.ย. นี้ กลยุทธ์แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์ ได้แก่ กลุ่มน้ำมัน และโรงกลั่น รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น กลุ่มนํ้ามัน ชอบ PTT มีโอกาสบันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมัน หากราคาน้ำมันดิบกลับมายืนเหนือ 62-65 เหรียญฯ

” แนะหุ้น PTTอาจได้ประโยชน์จากกำไรของบริษัทลูกทั้งในกลุ่มโรงกลั่น และ PTTEP อีกทั้งเงินบาทที่แข็งค่าจะทำให้ PTTEP ได้ประโยชน์ คือทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายทางภาษี 100 ล้านเหรียญฯ และอาจมีการ Cove short เข้ามาช่วยหนุนให้ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกแรง ”

ส่วนกลุ่มโรงกลั่น ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้น จะกดดันค่าการกลั่นลดลงช่วงสั้น แต่หากราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวขึ้นตาม ก็จะส่งผลบวกต่อค่าการกลั่นให้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้หากราคาน้ำมันดิบกลับไปยืนเหนือ 62-65 เหรียญฯได้ต่อเนื่องถึงสิ้น เดือนก.ย. ก็มีโอกาสบันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมัน โดยรวมถือเป็น Sentiment เชิงบวกต่อ TOP , BCP , PTTGC และ IRPC

สำหรับกลุ่มยางพารา คาดได้ประโยชน์ทางอ้อม ถือเป็น Sentiment บวกระยะสั้นต่อ STA เพราะเป็นผู้ประกอบการยางพารารายใหญ่สุดของโลก

ขณะเดียวกันแนะหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีน้ำมันเป็นต้นทุนหลัก  เช่น กลุ่มวัสดุก่อสร้าง, สายการบิน และโลจิสติกส์ ประโยชน์ที่ AAV, BA และ THAI ที่ควรได้รับจากน้ำมันส่วนที่ยังไม่ทำสัญญาล่วงหน้า ราว 22.5%, 27.5% และ 42% ของปริมาณใช้ในครึ่งปีหลัง จึงจะลดลงมีนัยสำคัญ

กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่เสียประโยชน์โดยตรง ต้นทุนพลังงาน ไม่ว่าจะเป็น ถ่านหิน, ค่าไฟฟ้า, ก๊าซธรรมชาติ ให้ปรับตัวขึ้นตามน้ำมัน โดยบริษัทที่จะเสียประโยชน์ คือ TASCO ซึ่งใช้น้ำมันดิบในการผลิตยางมะตอย

สำหรับธุรกิจปูนซีเมนต์มีต้นทุนพลังงานประมาณ 60% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด แบ่งเป็น ถ่านหินราว 30% และค่าไฟฟ้า 30% โดยค่าไฟฟ้าก็จะขึ้นอยู่กับค่า Ft ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต

ขณะที่ธุรกิจกระเบื้องอย่าง DCC แม้จะมีโครงสร้างต้นทุนมาจากก๊าซธรรมชาติสูงถึง 30% แต่ราคาก๊าซจะมี Lag time จากราคาน้ำมันเตา 4-6 เดือน จึงยังไม่ส่งผลกระทบทันที อย่างไรก็ตาม DCC อาจได้รับผลกระทบเชิงลบจากค่าขนส่ง ซึ่งสัดส่วนราว 7% ของยอดขาย

กลุ่มขนส่ง ต้นทุนโลจิสติกส์และค่าไฟฟ้าของกลุ่มจะอยู่ที่ 2-4% ของยอดขาย โดยรวมเชื่อว่าจะเป็น Sentiment เชิงลบต่อ WICE และ JWD

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  กล่าวว่า ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อความไม่แน่นอนต่อระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ในส่วนหุ้นอาจจะมีผลกระทบต่อบางอุตสาหกรรมในเชิงลบ และบางอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบในเชิงบวก นักลงทุนจะต้องนำปัจจัย มาพิจารณาเพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุน

บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า หากซาอุดิอาระเบียไม่ได้ใช้ความรุนแรงในการตอบโต้ ราคาน้ำมันดิบทั่วโลกน่าจะสูงขึ้นเพียงแค่ 1-2 สัปดาห์ ส่งผลต่อเงินเฟ้อ 4 เดือนหลังเพิ่มขึ้น 0.05% ตลอดทั้งปี อยู่ที่ 0.84% แต่หากซาอุดิอาระเบียใช้ความรุนแรง น่าจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ขึ้นมาอยู่ในกรอบ 70-80 ดอลลาร์ฯ ในช่วงที่เหลือของปี  ราคาน้ำมันดีเซลขยับขึ้นมาใกล้เคียง 30 บาทต่อลิตร เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า จาก 0.72% มาอยู่ที่ 1.48% รวมตลอดทั้งปี อยู่ที่ 1.08% กดดันเศรษฐกิจในปี 62 ให้ลดลงราว 0.2-0.3%

ส่วนการประชุมเฟดน่าจะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25%  สู่ระดับ 1.75-2.00%รวมถึงอาจจะปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีนี้และปีหน้าลงเล็กน้อย ส่วนการดำเนินนโยบายการเงินของไทย คงไม่ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามเฟดในทันที แต่คงจะรอติดตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจต่างๆ ต่อไปอีกระยะหนึ่งก่อน