NER ลุยไบโอแก๊ส 4 MW ดึงชุมชนถือหุ้นกระจายรายได้

HoonSmart.com>> “นอร์ทอีส รับเบอร์” คาดผลงานไตรมาส 3/62 ดีขึ้นรับราคายางพาราพุ่ง ยอดขายใกล้เป้าปีนี้ 2.6 แสนตัน พร้อมเตรียมผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อใช้และจำหน่าย นำร่อง 4 เมกกะวัตต์ COD ปลายปีนี้ ดึงชุมชนพื้นที่บุรีรัมย์ ร่วมถือหุ้น 30% หวังกระจายรายได้

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีความพร้อมผลิตไฟฟ้าจากไบโอแก๊ส ใช้วัตถุดิบจากหญ้าเนเปียและมูลสัตว์ กำลังผลิต 4 เมกกะวัตต์ คาดผลิตและขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในปลายปีนี้ โรงไฟฟ้านี้ สนับสนุนให้ชุมชุนมีรายได้ โดยร่วมถือหุ้นบริษัทที่ตั้งใหม่ ไม่เกิน 30% และร่วมปลูกหญ้าเนเปีย เพื่อนำมาขายให้โรงผลิตไฟฟ้า 400 ไร่ บริษัทปลูกเอง 1,200 ไร่ จากทั้งหมด 1,600 ไร่

ส่วนมูลสัตว์ มีทั้งมูลไก่และมูลวัว ขณะนี้อยู่ระหว่างสั่งวัวแม่เข้ามา 400 ตัว ซึ่งจะครบทั้งหมดอีก 2 เดือนข้างหน้านี้ เพื่อผลิตลูก 6,000 ตัว

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้จัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1 ประจำปี 2562 เพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของบริษัท เพื่อประกอบกิจการผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อใช้และจำหน่าย ให้มีความชัดเจน ครอบคลุมและรับรองการผลิตก๊าซชีวภาพจากโครงการไบโอแก๊สของบริษัท ซึ่งได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้น

สำหรับโครงการผลิตก๊าซชีวภาพของบริษัทฯ ประกอบด้วย โครงการย่อย 2 โครงการ โครงการละ 2 เมกกะวัตต์ โครงการแรกที่จะคอมมิชชันนิ่งในอีก 5 เดือนข้างหน้า มีมูลค่าการลงทุนทางบัญชีอยู่ที่ประมาณ 163 ล้านบาท ซึ่งจากการศึกษาเพิ่มเติม มีการปรับปรุงกระบวนการผลิต ปรับปรุงสัดส่วนการเติมวัตถุดิบ และปรับการบริหารจัดการขั้นตอนกระบวนการผลิตบางส่วนพบว่า จุดคุ้มทุนจะอยู่ที่ปริมาณการผลิตก๊าซชีวภาพ 17,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน ระยะเวลาคืนทุนที่ 8.7 ปี

ขณะที่ความสามารถในการลดต้นทุน ประเมินเทียบกับต้นทุนพลังงานปัจจุบันที่ซื้อที่ราคา 22 บาทต่อหน่วย จะสามารถลดลงต้นทุนพลังงานลงได้ประมาณ 5-7 บาทต่อหน่วย ทั้งหมดถือเป็นการลงทุนเชิงยั่งยืน ซึ่งสามารถขยายต่อยอดไปถึงกิจกรรมชุมชนสัมพันธ์โดยสนับสนุนและส่งเสริมการทำเกษตรกรรมร่วมกันระหว่างชุมชนรอบด้านกับบริษัทต่อไปอีกด้วย

“ในการจำหน่ายไฟฟ้านั้น ต้องมีการขออนุญาตจำหน่ายไฟฟ้าในอีกหลายขั้นตอนและใช้เวลาดำเนินการอีกพอสมควร ซึ่งบริษัทได้เคยเดินเรื่องขอจำหน่ายไฟฟ้าไปแล้วในช่วงก่อนหน้านี้ แต่ปรากฏได้รับแจ้งว่าจุดเชื่อมต่อและสายส่งในพื้นที่เต็มจำนวนจึงไม่ได้รับการอนุมัติให้ขายไฟฟ้า บริษัทจึงปรับแผนโดยการนำก๊าซชีวภาพที่ได้มาปั่นเป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อนำไปใช้ในกิจการของบริษัท และในกระบวนการปั่นไฟนั้นจะได้พลังงานความร้อนจากเครื่องปั่นไฟอีกทางหนึ่งซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ทดแทนพลังงานความร้อนจากแหล่งพลังงานที่ต้องซื้อเข้ามา ส่งผลให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ถึงสองทางคือค่าพลังงานเชื้อเพลิงในการอบยางและค่าพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในกิจการพร้อมกัน”นายชูวิทย์ กล่าว

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3/62 คาดว่าจะดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาส 2/62 เนื่องจากราคายางพารามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายรวม 255,000 ตันจากเป้าหมายในปีนี้ที่ 260,000 ตัน เนื่องจากช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ บริษัทมีลูกค้าใหม่ที่เริ่มซื้อขายเพิ่มเข้ามาอีกหลาย

พร้อมกันนี้มีลูกค้ารายใหญ่ 2 รายพร้อมที่จะเซ็นสัญญา Long Term เมื่อโรงงานใหม่ก่อสร้างแล้วเสร็จ คือ Apollo Tyre ล่าสุดได้เข้ามาตรวจสอบคุณภาพโรงงานแล้ว ด้าน MICHELIN จะเข้ามาตรวจสอบคุณภาพโรงงานในเดือนพ.ย.นี้