OR เรือธงแถวหน้ากลุ่มปตท. เดินหน้าร่วมทุนพันธมิตร ส่งแบรนด์ไทยติดระดับโลก

HoonSmart.com>>บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) จัดงานเปิดตัวครั้งแรก  OR เรือธงใหม่ของกลุ่ม ปตท. ยอดขาย 5 แสนล้านบาท ปี 61 เป็นรองเพียง PTTGC ส่วนกำไรทำได้เพียง 7,800-7,900 ล้านบาท เน้นเพิ่มจากธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันมากกว่า 30% ชูกลยุทธ์โตก้าวกระโดด ซื้อกิจการ-ร่วมทุนพันธมิตร  เป้าหมายมุ่งสู่แบรนด์ไทยชั้นนำระดับโลก พร้อมเติบโตคู่สังคมไทย ใช้เทคโนโลยีช่วยเพิ่มบริการลูกค้าตรงจุด ส่วนการเข้าตลาดหลักทรัพย์ยังเปิดเผยไม่ได้ ยอมรับมีการศึกษากระจายหุ้นให้ชุมชน

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) และนางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ นำทีมคณะผู้บริหารมาเปิดตัว “OR” อย่างเป็นทางการครั้งแรก พร้อมแถลงข่าว “TOGETHER FOR BETTERMENT: รวมพลัง ร่วมสร้าง เพื่อทุกวันที่ดีขึ้น” เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2562 ที่ผ่านมา

นายอรรถพลกล่าวว่า OR จะทำหน้าที่เป็นแขนขาที่ดีให้กับปตท.ในการทำธุรกิจน้ำมัน และกลุ่มธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่น ๆ (Non-Oil) มีความคล่องตัวในการดูแลสังคม และชุมชนให้ทั่วถึง ในปี 2561ที่ผ่านมา OR มียอดขายมากกว่า 5 แสนล้านบาท และกำไรประมาณ 7,800-7,900 ล้านบาท กำไรไม่มากเพราะธุรกิจน้ำมันได้ไม่มาก แต่กำไรก็ยังอยู่ในระดับที่ดีเมื่อเทียบกับบริษัทน้ำมันแห่งอื่น เช่น บางจาก เอสโซ่มียอดขาย 2 แสนล้านบาท มีกำไรกว่า 2,000 ล้านบาท

” OR มียอดขาย 5 แสนล้านบาท เทียบกับบริษัทไทยออยล์ (TOP) และบริษัทไออาร์พีซี (IRPC) ที่มียอดขายประมาณ 2-3 แสนล้านบาท จะรู้ว่า OR อยู่ตรงไหนของกลุ่มปตท.และในอุตสาหกรรม ธุรกิจน้ำมัน เราเป็นที่ 1 ของประเทศไทยมานานหลายปี คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 40% และมีร้านกาแฟ คาเฟ่ อเมซอน 2,800 สาขา เป้าหมายต่อไปจะเป็นแบรนด์ของคนไทยไปต่างประเทศ และยังพาคู่ค้าในปั๊มของเราไปให้ต่างประเทศรู้จักด้วย เติบโตไปด้วยกัน สิ่งที่มุ่งมั่นจะไป 60 ล้านคนทำได้แล้ว เป้าหมายต่อไป 600 ล้านคนในอาเซียน”นายอรรถพลกล่าว

นางสาว จิราพร กล่าวว่า เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2561 ปตท. ได้ปรับโครงสร้างนำหน่วยธุรกิจน้ำมันและบริษัทในเครือที่เกี่ยวข้องมาอยู่ภายใต้บริษัท ชื่อ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก โดยมีฐานะเป็นบริษัทเรือธง (Flagship) ของกลุ่ม ปตท. มี 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจน้ำมัน Non-Oil และธุรกิจต่างประเทศ โดยธุรกิจน้ำมัน มีสถานีบริการทั่วประเทศกว่า 1,850 แห่ง ผลิตภัณฑ์หล่อลื่นก็มียอดขายเป็นอันดับ 1 อย่างต่อเนื่องถึง 10 ปี และส่งออกไปขาย 40 ประเทศทั่วโลก ส่วนธุรกิจ Non-Oil มีร้านกาแฟ คาเฟ่ อเมซอน (Café Amazon) รวมกว่า 2,800 สาขาและยังนำธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่น ๆ มาเพิ่มความหลากหลายในบริการ ส่วนธุรกิจต่างประเทศ ได้นำรูปแบบทางธุรกิจที่ประสบความสำเร็จภายในประเทศไปต่อยอด มีสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ในหลายประเทศรวมกว่า 280 แห่ง และร้านร้านกาแฟ คาเฟ่ อเมซอนกว่า 200 สาขา

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่กล่าวว่า กลยุทธ์การเติบโตก้าวกระโดดในอนาคต จะเน้นการตั้งบริษัทย่อย หรือร่วมทุนกับพันธมิตทั้งในประเทศและพันธมิตรต่างประเทศ เพื่อนำจุดแข็งของแต่ละกลุ่มมาใช้ร่วมกันเพื่อสร้างความแข็งแกร่ง ทำให้มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย ( EBITDA) ของธุรกิจ Non-Oil และต่างประเทศจะเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 30% และธุรกิจน้ำมันอยู่ที่ 70%

ขณะเดียวกันยังคงเน้นการพัฒนานวัตกรรมของผลิตภัณฑ์และบริการ นำเทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Big Data Analytics) มาปรับกระบวนการปรับรูปแบบธุรกิจ เพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจและบริการ โดยนำความต้องการของลูกค้ามาเป็นศูนย์กลาง เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มโดยเฉพาะสังคมชุมชนและเอสเอ็มอีไทย ได้มีส่วนร่วมในการออกแบบรูปแบบธุรกิจ เพื่อส่งมอบธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยได้เป็นเจ้าของ ดังจะเห็นได้จากการที่สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น และร้านกาแฟ คาเฟ่ อเมซอน กว่า 80% ลงทุนและดำเนินการโดยผู้แทนจำหน่าย หรือ แฟรนไชส์ซี เกิดการจ้างงานและพัฒนาฝีมือกว่า 85,000 อัตรา สร้างเอสเอ็มอีกว่า 3,800 ราย

” OR จะเติบโตร่วมกับสังคมชุมชนไทยและเอสเอ็มอีไทยมีหลายโครงการที่ช่วยเพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์พื้นเมือง เช่นโครงการไทยเด็ด  พร้อมนำเอสเอ็มอีไทย สร้างการเติบโตร่วมกันในเวทีโลก เพื่อมุ่งสู่การเป็นแบรนด์ไทยชั้นนำระดับโลกที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ”นางสาวจิราพรกล่าว

ส่วนการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังคงดำเนินการตามหลักเกณฑ์ และกำลังศึกษาเรื่องการกระจายหุ้นให้ชุมชนตามนโยบายของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี แต่ยังไม่มีข้อสรุปเรื่องช่วงเวลาในการยื่นไฟลิ่งและการกระจายหุ้น ส่วนแผนธุรกิจในปี 2563  รอเสนอให้คณะกรรมการบริษัทพิจารณาในปลายปีนี้