5 บริษัทลูกปตท.วูบหนัก Q3 กำไรแค่ 12,571 ลบ. ลั่นฟื้นชัวร์ ปี 63

HoonSmart.com>>บริษัทปตท.(PTT) มีนัดประกาศผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 3/2562 ในวันที่ 12  พ.ย.2662 คาดว่ากำไรจะออกมาไม่ดีนัก หลังจากบริษัทลูก  5  แห่งเกือบทั้งหมดมีกำไรสุทธิลดลง ยกเว้น PTTEP  คาดว่าธุรกิจน่าจะลงถึงจุดต่ำสุดแล้ว ไตรมาส 4 จะกระเตื้องขึ้น และในปี 2563 มีโอกาสเติบโต  เพราะทุกบริษัทไม่หยุดการลงทุน มีหลายโครงการที่ถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์  รวมถึงบรรยากาศการค้าของโลกดีขึ้น มีผลสำคัญต่อราคาสินค้าปิโตรเคมีและราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นตัวกดดันกำไรของกลุ่มปตท.ในปีที่ผ่านมา 

ปัจจุบันบริษัทในกลุ่มปตท. 5 แห่ง ประกอบด้วย PTTGC,PTTEP,GPSC,TOP และ IRPC มีกำไรทั้งสิ้น  12,571 ล้านบาท ลดลงถึง 59.72% จากไตรมาส 3 ปีก่อน และลดลง 30.31% จากไตรมาส 2 ที่มีกำไรสุทธิ 18,041  ล้านบาท  ปัจจัยหลักมาจาก IRPC และ TOP พลิกกลับมาขาดทุน ส่วน PTTGC  มีกำไรเพียง 2,663 ล้านบาท รูดลง 79.18% จากไตรมาส 3 ปีก่อน แต่ฟื้นตัว 21% จากไตรมาส 2 ที่มีกำไรสุทธิ 2,202 ล้านบาท

ภาพโดยรวม 9 เดือนปีนี้  ทั้งกลุ่มปตท.เหลือกำไรสุทธิ 55,038  ล้านบาท ลดลง 39.23% เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวน 90,576  ล้านบาทในปีก่อน

อย่างไรก็ตาม  แม้ว่า TOP และ IRPC จะมีผลงานออกมาแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ แต่ราคาหุ้นกลับไม่ปรับตัวลงแรงอย่างที่กังวล  เพราะราคาลดลงมาดักข่าวร้ายล่วงหน้า  คาดว่าแนวโน้มผลงานจะดีขึ้นในไตรมาส 4 ต่อเนื่องในปี 2563  เช่น บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส(ประเทศไทย) คาด TOP จะฟื้นตัวในไตรมาส 4 เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุง ขาดทุนจากสต๊อกน้อยลง ค่าการกลั่นดีเซลเพิ่มขึ้น ดังนั้นราคาหุ้นที่อ่อนตัวลงในช่วงสั้น เพราะผลงานแย่กว่าที่คาด เป็นจังหวะซื้อสะสม ให้ราคาพื้นฐาน 78 บาท

ทางด้าน “คงกระพัน อินทรแจ้ง”  เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล   เมื่อเดือน ต.ค.2562 เปิดแถลงข่าวว่า ในปี 2563 บริษัทจะมีกำไรเพิ่มขึ้นจากปีนี้ เนื่องจากตั้งเป้ารายได้เติบโต 15%  ตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นราว 11% จาก 3 โครงการปิโตรเคมีใหม่ที่จะแล้วเสร็จพร้อมเดินเครื่อง ราคาสินค้าที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีส่วนผลักดันให้มาร์จิ้นเพิ่มขึ้น 4%  และสงครามการค้ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น

ธุรกิจโรงกลั่นจะมีค่าการกลั่น (GRM) เพิ่มขึ้นเป็นราว 7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากราว 4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีนี้ ได้ปัจจัยหนุนจากเกณฑ์ใหม่ขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) โรงกลั่นจะเดินเครื่องเต็มที่ 100% หลังจากได้หยุดซ่อมบำรุงในไตรมาส 4/2562 ประมาณ 50 วัน

ส่วนธุรกิจอะโรเมติกส์คาดว่าจะมีส่วนต่าง (สเปรด) ผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นมาที่ 180 เหรียญสหรัฐ/ตัน จาก 140 เหรียญสหรัฐ/ตัน ตามความต้องการใช้ และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของโรงงาน

ด้านธุรกิจโอเลฟินส์ คาดว่าราคาผลิตภัณฑ์ HDPE จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1,030 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากประมาณ 1,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน  แม้ว่าตลาดโลกจะมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มเข้ามา 6 ล้านตัน/ปีก็ตาม

“คงกระพัน” ประกาศเป้าหมาย  PTTGC เป็นผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิต ภายใต้ 3 กลยุทธ์

บริษัทเตรียมงบลงทุนในช่วง 5 ปี ( 2563-2567) ประมาณ 1.5-2.0 แสนล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนใหม่และการซื้อกิจการ (M&A) ตั้งเป้าว่าในปี 2573  พอร์ตการลงทุนมาจากต่างประเทศ 30% และในประเทศ  70% จากปัจจุบันมีต่างประเทศไม่ถึง 10% ในพอร์ตยังจะมีธุรกิจ Performance กับ Green รวมกัน 30% ช่วยให้การเติบโตมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับตลาดสหรัฐอเมริกา ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้ลงทุนในโครงการต่าง ๆ  มูลค่ารวม 500-600 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมถึงการลงทุน 50% ใน NatureWorks ผู้ผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด Polylactic Acid (PLA)  ขนาด 1.5 แสนตัน/ปี ที่มีการเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตแล้ว และกำลังตัดสินใจที่จะตั้งโรงงานแห่งที่ 2 ซึ่งบริษัทได้ชักชวนให้เข้ามาลงทุนในไทยในโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ ระยะที่ 2 เพื่อผลิต PLA ราว 7.5 หมื่นตัน/ปี คาดว่าทาง NatureWorks จะสรุปในต้นปี 2563

“กลุ่มปตท.กำลังสร้างบ้านแห่งที่ 2 ที่สหรัฐอเมริกา เป็นกลยุทธ์สำคัญ  โดยกลุ่มให้ PTTGC เป็นคนเดินหน้าไปก่อน ถ้ามีโอกาสไปก็จะดึงกลุ่มไปลงด้วย  PTT ,GPSC ก็สนใจ  สร้างโอกาสให้เรา ไม่ใช่เฉพาะสิ่งที่เรามองเห็นอยู่แล้ว ถ้าเราทำสำเร็จ จะช่วยสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากต่างประเทศเพิ่มเป็น 30% ในปี 2573 จากระดับ 7% ในปีนี้ ส่วนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ จะต้องพิจารณาให้รอบคอบ คาดว่าในช่วงไตรมาส 2 หรือครึ่งหลังปี 2563 จะได้ผลสรุปเพื่อตัดสินใจในการลงทุน

การลงทุนต่อยอดธุรกิจไปต่างประเทศ ไม่ใช่มีเพียง PTTGC เท่านั้น ที่ต้องการสร้างบ้านหลังที่สองในสหรัฐฯ  PTTEP ก็ขยายบ้านไปตะวันออกกลาง และประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง  เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ท่ามกลางความสามารถในการแข่งขันทัดเทียมกับนานาประเทศได้ในโลกใบนี้