MINT เท 2 พันลบ.ซื้อ “บอนชอน” ช่วยกำไรจิ๊บจ๊อย ธุรกิจโรงแรมถ่วง

HoonSmart.com>>บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) สร้างความฮือฮาให้กับวงการธุรกิจอาหาร (อีกดีลหนึ่ง) หลังประกาศใช้เงินลงทุน 2,000 ล้านบาท ซื้อกิจการบริษัท ชิคเก้น ไทม์ เจ้าของร้านอาหารบอนชอน ( Bonchon) กว่า 40 สาขาในประเทศไทย  เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ ซึ่งจะสร้างรายได้และกำไรให้บริษัททันที แต่คิดเป็นเพียงส่วนน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับโครงสร้างรายได้ของบริษัทที่มาจากธุรกิจอาหารเพียง 17-18% ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจโรงแรม ซึ่งอยู่ในต่างประเทศหลายแห่ง ผลงานยังไม่ดีขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจยุโรปที่ชะลอตัวและเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงในบางทำเล

นอกจากนี้ธุรกิจอาหารยังมีแนวโน้มชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันสูง หากต้องการให้รายได้-กำไรเติบโต ต้องใช้เงินในการซื้อกิจการ หรือลงทุนขยายสาขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  แม้ว่าในไตรมาส 3  MINT มีการขยายสาขาร้านอาหารสุทธิ 29 สาขาจากไตรมาส 2 แต่กำไรก็ยังร่วงลงแรงถึง 46%  เช่นเดียวกับบริษัทที่ทำธุรกิจอาหารที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก็มีกำไรลดลงไม่มากก็น้อย

เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2562 ที่ผ่านมา ผู้บริหาร MINT ได้ประชุมร่วมกับนักวิเคราะห์ โดย บล.โนมูระ พัฒนสิน แนะนำ”ถือ” MINT ราคาเป้าหมาย 41 บาท โดยมีมุมมองบวกเล็กน้อย เนื่องจากการซื้อ Bonchon จะช่วยต่อยอดการเติบโตธุรกิจร้านอาหาร โดย MINT ใช้เงินลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท คิดเป็น EV/EBITDA 10-13 เท่า เทียบค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม ซึ่ง Bonchon ดำเนินธุรกิจมีกำไรอยู่แล้วและมี EBITDA margin สูงกว่าพอร์ตธุรกิจอาหารปัจจุบันของ MINT คาดว่าจะช่วยส่งเสริมทั้งด้านยอดขายและอัตรากำไร(มาร์จิ้น)ในระยะยาวให้ดีขึ้น

ขณะที่ธุรกิจเดิม คือ โรงแรมในประเทศและร้านอาหารเริ่มฟื้นตัวในเดือนต.ค. แต่โรงแรมต่างประเทศและ OAKS ยังอ่อนตัว จึงคาดกำไรปกติในไตรมาส 4 ยังไม่เด่น เพียงทรงตัวเมื่อเทียบงวดปีก่อน แม้การซื้อ Bonchon จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจร้านอาหาร แต่จากคาดการณ์เบื้องต้น ยังไม่ส่งผลบวกต่อคาดการณ์กำไรปกติในปี 2563 ที่คาดไว้ 6,775 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากงวดปีก่อน อย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ บล.โนมูระ พัฒนสิน ยังกังวลการเติบโตของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป เนื่องจากเศรษฐกิจยุโรปที่โตชะลอและเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงในบางทำเล รวมถึงธุรกิจหลักของ MINT เช่น OAKS และโรงแรมในต่างประเทศยังอ่อนตัว

อย่างไรก็ตาม MINT รายงานผลงานไตรมาส 3/2562 มีรายได้รวม 34,277 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 4,560 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2 เท่าและ 4 เท่า จากช่วงเดียวกันปีก่อน และรวม 9 เดือนแรก มีรายได้รวม 94,762 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 6,929 ล้านบาท เติบโต 101% และ 76% ตามลำดับ เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นจากกำไรส่วนเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญจาก เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป และกำไรจากการขายและเช่ากลับโรงแรมทิโวลี 3 แห่งในประเทศโปรตุเกส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การขายสินทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จของบริษัท

” การริเริ่มเชิงกลยุทธ์ในเวลาที่เหมาะสม ส่งผลให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง นำหน้าคู่แข่งท่ามกลางสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจที่ท้าทาย การชะลอตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศไทย การแข็งค่าของเงินบาท และความไม่แน่นอนจากทั่วโลก ทำให้บริษัทบันทึกรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในปีนี้ทุกไตรมาส แต่หากไม่รวมรายการพิเศษ กำไรจะเติบโต 39% เป็น 1,417 ล้านบาท และในช่วง 9 เดือนโต 9% เพราะผลขาดทุนจากการดำเนินงานของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปในไตรมาส 1 ทั้งนี้บริษัทเปิดโรงแรมให้บริการทั้งหมด 11 แห่ง

ส่วนธุรกิจอาหาร ไตรมาส 3 MINT มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA) เพียง 492 ล้านบาท ลดลงถึง 46% จากที่ทำได้ 911 ล้านบาท ทำให้มีสัดส่วนเพียง 6 %ของกำไรรวมของบริษัท ขณะที่ในช่วง 9 เดือนปีนี้ มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย 2,680 ล้านบาท ลดลง 9% แต่สัดส่วนของธุรกิจอาหารมีจำนวน 17%

ทั้งนี้ ในไตรมาส 3 มีการเปิดร้านอาหารสุทธิ 29 สาขาจากไตรมาส 2 ส่วนใหญ่เป็นร้านเดอะคอฟฟี่ คลับ,เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ,ริเวอร์ไซด์ และแดรี่ ควีน ณ สิ้นไตรมาส 3 มีสาขาร้านอาหารทั้งสิ้น 2,297 สาขา แบ่งเป็นลงทุนเอง จำนวน 1,143 สาขาหรือประมาณ 50% และสาขาแฟรนไชส์ 1,154 สาขา โดยส่วนใหญ่อยู่ในประเทศไทยจำนวน 1,511 สาา

สำหรับการซื้อ Bonchon ครั้งนี้ ไม่รวมสิทธิแฟรนไชส์ในการเปิดสาขาใหม่ แต่ MINT กำลังเจรจากับเจ้าของสิทธิแฟรนไชส์หลัก ร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อให้ MINT มีสิทธิในการขยายสาขาบอนชอนทั่วประเทศต่อไป

“วิลเลี่ยม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค” ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการของ MINT กล่าว ด้วยคุณค่าของแบรนด์บอนชอนที่ไม่เหมือนใคร ประสบการณ์ที่แข็งแกร่งของบริษัทถึงสี่ทศวรรษ และฐานการดำเนินงานที่มั่นคงในประเทศไทย จะช่วยให้บริษัทสามารถเพิ่มมูลค่าการลงทุนในครั้งนี้ให้กับผู้ถือหุ้น  MINT ต่อไป

“เครือร้านอาหารบอนชอนในประเทศไทยจะสร้างรายได้และผลกำไรให้กับบริษัทในทันที ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถเติบโตได้เร็วขึ้น  เชื่อว่าประเทศไทยยังคงมีแนวโน้มทางธุรกิจที่ดีในระยะยาวจากการเติบโตของชนชั้นกลางและรายได้ส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้น”

“พอล เคนนี่” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารไมเนอร์ ฟู้ด กล่าวเพิ่มเติมว่า MINT ใช้เวลาในการค้นหาแบรนด์ที่เหมาะสม เพื่อช่วยเสริมสร้างเครือร้านอาหารของบริษัท จึงค้นพบร้านอาหารที่มีคอนเซปต์ที่ไม่เหมือนใคร ไก่เป็นหนึ่งในเนื้อสัตว์ที่คนไทยให้ความนิยมมากที่สุด และตลาดไก่ยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก

บอนชอนมีความเหมาะสมเป็นอย่างมากกับแบรนด์ที่กลุ่ม MINT มีอยู่ในการเป็นร้านอาหารแบบนั่งทาน และช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับกลุ่มแบรนด์อีกการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้จะช่วยยกระดับไมเนอร์ ฟู้ด เป็นการต่อยอดประสบการณ์อันยาวนานของเรา ในฐานะผู้นำในการดำเนินธุรกิจร้านอาหาร

สำหรับแบรนด์บอนชอน ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2545 ในประเทศเกาหลี  ปัจจุบันเป็นแบรนด์ร้านอาหารเกาหลีและไก่ทอดสไตล์เกาหลีที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลก โดยแบรนด์บอนชอนได้สร้างความแตกต่างด้วยไก่ทอดสไตล์เกาหลี ที่มีซอสอันเป็นเอกลักษณ์  ด้วยแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และความภักดีของลูกค้าต่อไก่ทอดสุดกรอบที่ไม่เหมือนใครและอาหารเอเชียสไตล์ฟิวชั่นอื่นๆ ส่งผลให้บอนชอนขยายสาขาอย่างรวดเร็ว ครอบคลุม 9 ประเทศ ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา บาห์เรน คูเวต ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ กัมพูชา เวียดนาม พม่า และไทย

หวังว่า การซื้อ”บอนชอน” จะช่วยต่อยอดให้ไมเนอร์ฯ ครองความเป็นผู้นำตลาดอาหารในประเทศไทยได้ในไม่ช้านี้  ซึ่งตลาดที่นี่จัดว่าเป็นสนามปราบเซียนแห่งหนึ่งของนักธุรกิจอาหารจากทั่วโลก