SCBS ชี้เป้า 1,600-1,800  ปี’63 เน้นค้าปลีก-การแพทย์-นิคมฯ

HoonSmart.com>>บล.ไทยพาณิชย์คาดปี 63  กำไรบจ.พลิกกลับมาโต 11% กลยุทธ์แนะนำหุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภค-การลงทุนในประเทศ ซื้อกลุ่มค้าปลีก-การแพทย์-นิคมอุตสาหกรรม ทยอยเพิ่มน้ำหนักหุ้นกลุ่มวัฏจักร พลังงาน-ปิโตรเคมี เลี่ยงทองคำ จับตาเตรียมพร้อมรับมือ กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะเริ่มใช้ 1 ม.ค.2563

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) เปิดเผยว่า SCBS มีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นปี 2563 ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นเกิดใหม่ แม้เผชิญความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกก็ตาม แต่มีความเสี่ยงจำกัด คาดการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) สิ้นสุดแล้ว กำไรบจ.มีโอกาสฟื้นตัวประมาณ 11% ซึ่งเป็นการฟื้นตัวขึ้นครั้งแรกหลังจากที่ติดลบมา 2 ปีต่อเนื่อง

“หุ้นไทยและตลาดเกิดใหม่ยังปรับขึ้นช้ากว่าตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ และยุโรป จึงมีความน่าสนใจมากขึ้น มองกรอบความเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1,600-1,800 จุด แต่หากมีปัจจัยกดดันเพิ่มเติมอาจจะทำให้กรอบปรับลดลงไปอยู่ที่ 1,550-1,580 จุด”นายสุกิจกล่าว

ส่วนกลยุทธ์การลงทุน แนะนำหุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภคและการลงทุนในประเทศ เน้นหุ้นที่มีเงินปันผล ราคาไม่แพงและกำไรสุทธิยังคงเติบโตได้แม้ไม่สูงก็ตาม เพื่อลดความเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอตัว เช่น กลุ่มค้าปลีก การแพทย์ นิคมอุตสาหกรรม และให้เริ่มทยอยเพิ่มน้ำหนักหุ้นกลุ่มวัฏจักร เช่น พลังงาน ปิโตรเคมี หลังจากมูลค่าหุ้นลดลงมาสะท้อนความเสี่ยงไปพอสมควรแล้ว คาดหวังว่าเศรษฐกิจโลกจะเริ่มฟื้นตัว สงครามการค้าเริ่มคลี่คลาย ภาครัฐมีโอกาสออกมาตรการกระตุ้นเศษฐกิจเพิ่มเติม “นายสุกิจกล่าว

นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลด้านการลงทุนและที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง และดอกเบี้ยมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง แต่ยังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนของการเกิดเศรษฐกิจถดถอย ใน 1 ปีข้างหน้า

ปัจจุบันธนาคารกลางต่างๆยังมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อในปีหน้า ทำให้ดอกเบี้ยยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ แต่โอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ยลงอีกมีน้อยลงเช่นกัน เพราะมีข้อจำกัดในการส่งผ่านนโยบายการเงิน ประเทศต่างๆ มีแนวโน้มใช้นโยบายการคลังควบคู่กับนโยบายการเงิน ซึ่งนโยบายการคลังก็มีข้อจำกัดจากการมีหนี้สาธารณะซึ่งอยู่ในระดับสูง

“แม้เศรษฐกิจยังดูไม่สดใส แต่สินทรัพย์เสี่ยงได้ตอบรับปัจจัยนี้เข้าไปแล้ว กำไรบจ.เริ่มมีเสถียรภาพหรือไม่ปรับลดลง ถือเป็นสัญญาณ Bottom Out ที่ควรจะเริ่มเข้าลงทุนใน early stage”นายศรชัย กล่าว

กลยุทธ์การลงทุน ให้หาจังหวะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้น เลือกหุ้น หรือในอุตสาหกรรมที่ราคาปรับลดลงมามากจนต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน หรือราคายัง Laggard ขณะที่หลีกเลี่ยงลงทุนในตราสารหนี้เอกชน High Yield และเน้นลงทุนในตราสารหนี้เอกชน ที่มีเรทติ้งลงทุนได้ รอและทยอยเข้าลงทุน เมื่อ Yield เพิ่มขึ้นอยู่ระดับ 5.4-6.0%

สำหรับตลาดหุ้นที่น่าสนใจลงทุน ได้แก่ สหรัฐฯ ในกลุ่มธุรกิจสุขภาพ ซึ่ง Valuation อยู่ในระดับต่ำ กำไรมีแนวโน้มที่ดี โดยควรรอเข้าลงทุน หลังมีความชัดเจนของนโยบาย Health care รวมถึงตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย จากสงครามการค้าที่มีแนวโน้มดีขึ้น

สินทรัพย์ทางเลือก แนะนำ ตลาดน้ำมัน และรอตลาด REITs ปรับฐานแล้วค่อยเข้าลงทุน หลีกเลี่ยงการลงทุนในทองคำ

ทางด้านกฎหมายที่น่าจับตามองและต้องเตรียมพร้อมรับมือ คือ กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2563