กลุ่มปตท.ร่วงยกแผงเจอข่าวลบ TOP ยันไม่ขาดทุนสต็อก Q4

HoonSmart.com>> หุ้นกลุ่มปตท.ปรับตัวลงตามคาด เจอหลายปัจจัยลบกระทบ กองทุนต่างชาติต้องขายหุ้นพลังงาน รอซื้อหุ้น Saudi Aramco บริษัทน้ำมันที่ใหญ่กว่า PTT ถึง 40 เท่า MSCI เปิดทางเข้าคำนวณดัชนีกรณีพิเศษ ราคาน้ำมันดิบปักหัวลงตามความไม่แน่นอนของการเจรจาสงบศึกการค้า ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันไตรมาส 4 อยู่ที่ 60-65 เหรียญสหรัฐฯ โดยรวมมีกำไร ปีหน้าใช้เงินลงทุน 2,000 ล้านเหรียญ ลงทุนโครงการพลังงานสะอาด 

วันที่ 20 พ.ย.2562 หุ้นกลุ่มพลังงานเป็นตัวนำตลาดลงแรง 10.42 จุดฉุด ดัชนีลงต่ำกว่า 1,600 จุด โดยเฉพาะแรงขายหุ้นในกลุ่มปตท.

บล.เอเซีย พลัส  เปิดเผยว่า หุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะหุ้นที่อยู่ในดัชนี MSCI เช่น PTT, PTTEP, PTTGC, TOP, IVL, BANPU และ IRPC ถูกขายสุทธิเกือบทุกบริษัท เนื่องจากได้รับผลกระทบจาก Saudi Aramco บริษัทน้ำมันขนาดใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ กำลังจะขายหุ้น IPO 1.5% ของหุ้นทั้งหมด ทำให้กองทุนต่างประเทศ ต้องขายหุ้นในพอร์ตออกมาเตรียมเงินสดไว้ลงทุน และที่สำคัญคือ ทาง MSCI ได้มีการประกาศว่าจะนำหุ้น Saudi Aramco เริ่มเข้ามาคำนวณในดัชนีเป็นกรณีพิเศษ ในวันที่ 17 ธ.ค. 2562 จึงต้องปรับพอร์ตรองรับสัดส่วนของดัชนี MSCI ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งน่าจะเป็นการกีดกันการปรับตัวขึ้นของดัชนีหุ้น ที่มีมาร์เก็ตแคปของกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี รวมกันสูงถึง 26.4% ของหุ้นทั้งหมด

นอกจากนี้ หุ้นพลังงานยังได้รับผลกระทบ จากราคาน้ำมันที่ยังผันผวนจากหลากหลายประเด็น ทั้งความไม่แน่นอนในการสงบศึกสงครามทางการค้าจีนกับสหรัฐ ซึ่งยังมีมุมมองเดิม สงครามการค้ายังมีโอกาสยืดเยื้อต่อไป จนกว่าจะถึงช่วงปลายปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ รวมถึงกลุ่มโอเปคและนอกกลุ่ม จะจับมือกันลดกำลังหรือไม่ ในการประชุมวันที่ 3-4 ธ.ค.นี้

“คาดว่าดัชนีน่าจะอยู่ในช่วงปรับฐานต่อเนื่อง โดยมีราคาน้ำมันที่ปรับลดลงแรงจากความกังวลทั้งในฝั่งของ Supply และ Demand เป็นแรงกดดัน แต่เม็ดเงิน LTF ที่ไหลเข้าสู่ตลาดในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีเป็นแรงหนุน ให้ดัชนียืนเหนือ 1600 จุดได้ “บล.เอเซียพลัสระบุ

ล่าสุดราคาน้ำมันโลกปรับฐานลงแรง โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ลดลง 2.5% และราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 3.2% หลักๆถูกกดดันจาก ฝั่ง Supply รัสเซีย (กำลังการผลิตราว 12%ของการผลิตทั้งโลก) จะยังคงกำลังการผลิตน้ำมันดิบไปจนถึงปี 2563แต่ให้น้ำหนักการประชุมโอเปคในเ วันที่ 3-4 ธ.ค. 2562

นาง ธาริกา เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้จัดการฝ่ายวางแผนการเงิน บริษัท ไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยว่า กำไรไตรมาส 4 ดีขึ้น   คาดราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 60-65 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากปัจจุบันอยู่ที่ 62 เหรียญสหรัฐ  ถ้าราคานี้จะทำให้บริษัทสามารถทำกำไรได้จากการไม่มีขาดทุนจากสต็อก และปีหน้าเตรียมเงินลงทุน 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯจากเงินลงทุนรวมในโครงการพลังงานสะอาดหรือ  CFP ประมาณ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ดำเนินการตั้งแต่ปั 2562-2566 ปัจจุบันมีกระแสเงินสดถึง 8 หมื่นล้านบาท สัดส่วนหนี้สินต่อทุน( D/E Ratio) ต่ำเพียง  0.2 เท่า

“ไตรมาส 3  บริษัทขาดทุน  683 ล้านบาท ถ้าไม่รวมขาดทุนจากสต็อก 1.8 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล บริษัทมีกำไรสุทธิ 690 ล้านบาท แม้ว่าปิดซ่อมบำรุงโรงงานกลั่นไป 15 วัน ต่อเนื่องจากไตรมาส 2 อัตราการใช้กำลังการกลั่นลดลงอยู่ที่ 97% แต่ก็ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม  ส่วนความต้องการน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศ 9 เดือนสูงขึ้น 1.8%  ส่วนใหญ่จะเป็นน้ำมันเบนซิน  บริษัทขายในประเทศได้ 89% และต่างประเทศ 11% (CLMV 8%)”นางธาริกากล่าว

ส่วนธุรกิจโรงกลั่น ในไตรมาส 3 ค่าการกลั่นอยู่ที่ 4.1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล สูงขึ้นจากในไตรมาส2 อยู่ที่ 2.6 เหรียญสหรัฐฯ ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ สูงขึ้นทุกตัว  ธุรกิจอะโรเมติกส์ กำลังการผลิตอยู่ที่ 54% มีกำไร 0.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล  ลดลงจากในไตรมาส 2 อยู่ 1.0 เหรียญสหรัฐฯ  ส่วนธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ลดลง แต่ราคายางมะตอยดีขึ้นเล็กน้อย กำไรน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานลดลง อยู่ที่ 0.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล  จากในไตรมาส 2  ระดับ 0.7 เหรียญสหรัฐฯ ธุรกิจไฟฟ้ามีกำไรอยู่ที่ 467 ล้านบาท ลดลง 18% จากในไตรมาส 2 อยู่ที่ 572 ล้านบาท

อ่านข่าว

PTT ทำใจผลงานปีนี้ต่ำเป้า ไตรมาส 4 ราคาน้ำมันร่วง