“เฮียฮ้อ”ขายหุ้น RS 1,315 ลบ.เพิ่มพันธมิตร “คิงเพาเวอร์” ถือ 9.87%

HoonSmart.com>>สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ หรือเฮียฮ้อ เหลือหุ้น RS แค่ 20.79% หลังขายบิ๊กล็อตให้กลุ่ม “ศรีวัฒนประภา” แห่งคิง เพาเวอร์ 96 ล้านหุ้น ราคาเท่าตลาด 13.70 บาท จากเมื่อเดือนส.ค. เพิ่งขายให้กลุ่มบีทีเอส 5.62% ราคา 15 บาท สร้างพันธมิตรในการทำธุรกิจขายตรงบนแฟลตฟอร์มใหม่ ขยายสินค้าให้นักเดินทางทั่วโลก

       

วันที่ 27 พ.ย.2562 มีรายการซื้อขายหุ้นบิ๊กล็อต บริษัทอาร์เอส (RS) 4 รายการ จำนวน 96 ล้านหุ้น มูลค่าซื้อขาย 1,315.10 ล้านบาท ในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 13.70 บาท เท่ากับราคาในตลาด ซึ่งปิดเพิ่มขึ้น 0.50 บาทหรือ 3.79%

แหล่งข่าวกล่าวว่า บิ๊กล็อตหุ้น RS จำนวน 9.87% ของทุนเรียกชำระแล้ว เป็นการขายหุ้นของนายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ หรือเฮียฮ้อ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของบริษัท ขายให้กับกลุ่ม”ศรีวัฒนประภา” เจ้าของ คิงเพาเวอร์ ผู้นำธุรกิจค้าปลีกสินค้าปลอดอากรของไทย

การขายหุ้นครั้งนี้ ถือเป็นล็อตที่สองของเฮียฮ้อ เมื่อเดือนส.ค. 2562 ที่ผ่านมา ได้ตัดขายจำนวน 55 ล้านหุ้น หรือ 5.62% ให้กับบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ในราคาหุ้นละ 15 บาทได้รับเงินมาจำนวน 825 ล้านบาท และนายโสรัตน์ วณิชวรากิจ นักลงทุนรายใหญ่ ได้ร่วมขายด้วย 15 ล้านหุ้น

“เฮียฮ้อยังคงถือหุ้นใหญ่ที่สุด หลังจากที่เคยถือสูงถึง 36.26% ค่อยๆลดลงเหลือ 20.79% ขณะที่ กลุ่มศรีวัฒนประภาเข้ามาถือเป็นอันดับสอง จำนวน 9.87% เบียดนายโสรัตน์ลงไปเป็นที่สาม สัดส่วน 9.65% ส่วน BTS เป็นอันดับที่ห้า 6.06% ”

เฮียฮ้อมีเป้าหมายในการขายหุ้น RS เพื่อเพิ่มพันธมิตรที่่สามารถต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง โดยกลุ่มบีทีเอสสร้างแฟลตฟอร์มในการทำธุรกิจยุคใหม่ มีความพร้อมด้านระบบขนส่งและการชำระเงิน ช่วยเสริมธุรกิจของ RS ที่ทำธุรกิจพาณิชย์หลายช่องทาง หรือ Multi-platform Commerce (MPC) เป็นการโฆษณาและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ภายใต้ตราสินค้าของบริษัทเองและของพันธมิตร ผ่านช่องทางสื่อของบริษัททั้งช่อง 8 ทีวีดาวเทียม และวิทยุ รวมถึงสื่อโทรทศัน์ช่องอื่นที่เป็นพันธมิตร ช่องทางออนไลน์ และ ร้านค้าปลีกทั่วประเทศ สามารถรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจและกำลังซื้อได้ทุกสภาวะ และได้กลุ่มคิงเพาเวอร์ เข้ามาจะสร้างความแข็งแหร่งยิ่งขึ้นจากกำลังซื้อของนักเดินทางทั่วโลก

บริษัทอาร์เอสได้ปรับตัวและเตรียมความพร้อมรับพันธมิตรมานาน โดยปรับโมเดลธุรกิจจากสื่อมาเป็นการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค และเมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2562 ได้ย้ายหมวดหุ้นจากสื่อและสิ่งพมพ์ เข้าหมวดพาณิชย์ในกลุ่มบริการ ขณะที่ผลกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากล้างบ้านครั้งใหญ่เพื่อปรับโมเดลธุรกิจทำให้บริษัทประสบปัญหาขาดทุนถึง 102 ล้านบาท เมื่อปี 2559 และแม้ว่าจะมีกำไรในปี 2560 และ 2561 แต่บริษัทเพิ่งมาตัดสินใจจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในปี 2562 ในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท