คอลัมน์แน่งน้อยร้อยเรื่องลงทุน : ตามให้ทัน มองให้ไกล หุ้นไฟฟ้า

HoonSmart.com>>สัปดาห์ที่ผ่านมา (25-29 พ.ย.2562) หุ้นไฟฟ้าและสื่อสารปรับตัวลงแรงกว่าตลาด นอกจากเหตุผลที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากแล้ว ความเสี่ยงของตลาดที่เริ่มลดลง นักลงทุนจึงถือโอกาสปรับพอร์ตออกจากหุ้นปลอดภัย ที่มีรายได้ประจำสูงๆ ไปหาโอกาสจากหุ้นกลุ่มใหม่แทน

แนวโน้มในสัปดาห์นี้จะเป็นอย่างไร

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ คาดว่ายังคงเกิดขึ้นต่อไป การสลับกลุ่มหุ้นจากกลุ่มเชิงรับอย่างไฟฟ้า และสื่อสาร ไปหากลุ่มที่ราคาปรับตัวลงมามาก แต่มีปันผลที่น่าสนใจ เช่นกลุ่มธนาคาร และการลดน้ำหนักหุ้น Defensive ไปเพิ่มในหุ้น Cyclical (หุ้นที่จะเติบโตตามเศรษฐกิจ)   ตามระดับความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจถดถอยที่ลดลง และพัฒนาการของการฟื้นตัวที่กำลังเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4/62 ถึงไตรมาส 1/63 ส่วนเรื่องสงครามการค้า เชื่อว่าสหรัฐ-จีนน่าจะมีข้อตกลงทันเส้นตาย 15 ธ.ค. 2562

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ให้น้ำหนักเรื่องการเจรจาการค้าเป็นตัวชี้นำตลาด ซึ่งยังคงมีความไม่แน่นอน ทำให้ราคาสินทรัพย์ทั่วโลกมีความผันผวนต่อไป กว่าเหตุการณ์ประวัติศาสตร์การลงนามข้อตกลงระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนเฟสแรกจะเกิดขึ้น ยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย  ช่วงนี้ต้องเกาะติดการตอบโต้จากจีนหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์สหรัฐฯ ลงนามในกฎหมายสนับสนุนสิทธิและประชาธิปไตยในฮ่องกง สร้างความไม่พอใจให้กับจีนอย่างมาก เกิดความกังวลต่อการเจรจา น่าจะจบไม่ลงในปี 2562 ยิ่งลากออกไปนานเท่าไร เศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอเปราะบางยิ่งบอบช้ำ สะท้อนถึงราคาน้ำมันดิบทรุดลงกว่า 5% น่าจะมีผลต่อตลาดหุ้นไทยและเอเชียในวันจันทร์ที่ 2 ธ.ค. ที่จะถึงนี้

ตอนนี้ได้แต่หวังแรงซื้อของนักลงทุนสถาบันจากเม็ดเงิน LTF และ RMF ซึ่งบล.ทรีนีตี้คาดจะมีเข้ามา 1.2 หมื่นล้านบาทในเดือนธ.ค.  และรอผลการประชุมของกลุ่มโอเปกรวมถึงนอกกลุ่มวันที่ 5-6 ธ.ค. อาจจลดกำลังการผลิต หรือคงระดับการลดกำลังการผลิตเดิมที่ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ตลาดหุ้นที่เคลื่อนไหวในทิศทางขาลง ย่อมมีผลต่อหุ้นเกือบทั้งตลาด ขณะเดียวกันมองเป็นโอกาสเช่นเดียวกัน นักลงทุนต้องอาศัยช่วงจังหวะราคาหุ้นลงหนักๆ วิ่งเข้าหาหุ้นไฟฟ้า หรือมือถือ ที่มีรายได้แน่นอน บางตัวแจกปันผลสูงเป็นของแถม  แต่หากยังไม่มั่นใจ ถือเงินสด รอความชัดเจนเรื่องสงครามการค้าที่มีเส้นตาย 15 ธ.ค. นี้  เลือกซื้อหุ้นพื้นฐานดีเก็บไว้ลงทุน  ซึ่งหุ้นในกลุ่มไฟฟ้ามีน่าสนใจหลายตัว โดยเฉพาะบริษัทที่ขยายธุรกิจออกไปมากกว่าการเพิ่มกำลังการผลิตเพียงอย่างเดียว แต่ละบริษัทประกาศแผนธุรกิจ และแนวโน้มผลการดำเนินงานของปี 2563 ออกมาชัดเจนแล้ว

แต่หากยังไม่มั่นใจ ก็สามารถใช้ตัวช่วย บทวิเคราะห์ที่เพิ่งออกมาทันสมัยทันสถานการณ์ ให้ศึกษาเพื่อวางแผนระยะยาวได้

อาทิ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์วันที่ 11 พ.ย. 2562 ยังคงแนะนำซื้อหุ้นบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ (EA) เพราะราคาปรับตัวขึ้นเพียง 5% ขณะที่บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) และบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) ขึ้นมามากถึง 109.8% และ 92.7% ตามลำดับ

ให้ราคาเป้าหมาย 12 เดือนข้างหน้าที่ 60.25 บาท หลังจาก  EA  เดินหน้าโรงแบตเตอรี่ คาดก่อสร้างเสร็จภายในปี 2563 ส่งมอบรถยนต์ EV 3,500 คัน ตั้งแต่ไตรมาส 2  ส่วนเรือไฟฟ้าให้บริการเต็มรูปแบบ จำนวน 40 ลำภายในปี 2563 และโรงงานไบโออีเซลใหม่ ขนาด 65 ตันต่อวัน จะเริ่มกระบวนการผลิตในไตรมาส 2 ตามแผน อย่างไรก็ตาม ไตรมาส 4/62 กำไรปกติจะลดลงจากไตรมาส 3 เล็กน้อยเพราะฤดูกาล พลังงานแดดและลมได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แต่ยังได้โครงการหนุมานหนุนกำลังการผลิต” บล.หยวนต้าระบุ

สำหรับ BGRIM แพง แต่ปลอดภัย รอจังหวะลงทุนเมื่ออ่อนตัวต่ำกว่า 48.50 บาท ให้ราคาเป้าหมาย 54 บาท คาดกำไรปกติปีนี้ที่ 2,233 ล้านบาท โต 21.2% และปี 2563 คาด 3,313 ล้านบาท โต 48% เนื่องจากรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เวียดนามเต็มปี

บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ออกบทวิเคราะห์วันที่ 20 พ.ย. 2562 แนะนำ “ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว” หุ้น GULF ให้ราคาเป้าหมาย 172 บาท เพราะราคาขึ้นมากกว่า 108% ปัจจุบันซื้อขายสูงกว่าราคากลางของนักวิเคราะห์ที่ 140 บาท แต่มีข้อดีโครงการในมือเป็นไปตามแผน ข่าวดีโรงไฟฟ้าใหม่ในต่างประเทศ โอมานเวียดนาม และลาวช่วยหนุนราคา โครงการประมูลท่าเรือแหลมฉบัง 3 ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐบาล

ส่วน BGRIM ปรับคำแนะนำเป็น “ถือลงทุน” จากเดิมซื้อเก็งกำไร เพราะราคาขึ้นมาสูงกว่าราคาเป้าหมายที่ให้ไว้ 37 บาท แม้มีโอกาสสูงในโรงไฟฟ้าก๊าซ LNG ขนาด 3,000 MW ในเวียดนาม คาดช่วยเพิ่มมูลค่า 10 บาท/หุ้น สำหรับสัดส่วนการลงทุน 50% แต่ราคาได้สะท้อนข่าวดีไปแล้ว

ใครรักใครชอบหุ้นไฟฟ้าตัวไหน สามารถเลือกซื้อได้ แต่ต้องอาศัยจังหวะเข้า และราคาที่เหมาะสม ถึงจะปลอดภัยได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าสำหรับการลงทุน