EA ร่วมทุน TFG ผลิตไฟ 200 MW ไทยฟู้ดส์ฯ ลดรายจ่าย 30-50 ลบ./ปี

HoonSmart.com>>EA-TFG ร่วมทุน   ก้าวเข้าสู่ธุรกิจโซลาร์ลอยน้ำและโซลาร์รูฟท๊อป  รวม 200 เมกะวัตต์ ภายใน 3 ปี ช่วงแรกช่วยลดค่าไฟฟ้าให้กับกลุ่มไทยฟู้ดส์กรุ๊ป 6-10% ในอนาคตสูงถึง 20% และขายให้กับบริษัททั่วไป 

บริษัทพลังงานบริสุทธิ์ (EA) ร่วมลงทุนกับบริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป (TFG) ถือหุ้นฝ่ายละ 40% ในบริษัท ทีเอฟ เทค เพื่อลงทุนติดตั้งโซลาร์ลอยน้ำขายไฟให้กับกลุ่ม  และต่อยอดระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา หรือ โซลาร์รูฟท๊อปในอนาคต ขายไฟให้บริษัทอื่นด้วย

นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ เปิดเผยว่า บริษัทมีประสบการณ์ในการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มาแล้ว 278 เมกะวัตต์ ทั้งแบบธรรมดาและหมุนตามดวงอาทิตย์ ในโอกาสนี้ได้ขยายเข้าสู่โซลาร์ลอยน้ำ โดยร่วมมือกับ TFG ในการนำนวัตกรรมมาผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ของกลุ่มไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป กำลังการผลิต 13-14 เมกะวัตต์ (MW) โครงการแรกจะเริ่มติดตั้งแผงไฟฟ้าในโรงงาน 4 แห่ง เพื่อช่วยลดค่าไฟฟ้าให้กับ TFG คาดว่าจะเริ่มดำเนินการ(COD) ได้ในเดือนพ.ค. 2563  นอกจากนี้ยังเตรียมการเข้าสู่โซลาร์รูฟท๊อปบนอาคารโรงงาน ฟาร์มเลี้ยงไก่และสุกรให้กับกลุ่ม TFG และรายอื่นๆ รวมกำลังการผลิตทั้งหมด 200 เมกะวัตต์ ภายใน 3 ปี(2563-2565)

“โซลาร์ลอยน้ำ มีต้นทุนในการผลิตเมกะวัตต์ละ 20-21 ล้านบาท โครงการนี้จะใช้เงินลงทุนประมาณ 200-300 ล้านบาท และการลงทุนโซลาร์รูฟท๊อป จะช่วยลดค่าไฟฟ้าให้กับ TFG อย่างมีนัยสำคัญ ไม่รวมถึงผลตอบแทนจากการถือหุ้น 40% ใน บริษัท ทีเอฟ เทค ที่จะขายไฟฟ้าให้กับผู้ใช้รายอื่นๆด้วย “นายอมรกล่าว

นายวินัย เตียวสมบูรณ์กิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป กล่าวว่า เมื่อ 6 ปีก่อน บริษัทฯเคยศึกษานำมูลหมูและมูลไก่มาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า แต่ไม่คุ้มทุน และไม่มีเทคโนโลยีที่ทำให้ถูกลง รวมถึงศึกษาการลงทุนโซลาร์เพื่อผลิตไฟไว้ใช้ในฟาร์ม ต้นทุนอยู่ที่ 50 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์ แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีและอุปกรณ์ถูกลงมาก เหลือเมกะวัตต์ละ ประมาณ 20 ล้านบาทเท่านั้น คุ้มค่าสำหรับการลงทุน เพื่อผลิตไฟพลังงานสะอาดมาใช้ในโรงงานและฟาร์มของบริษัท

นายเพชร นันทวิสัย รองประธานสายงานฟาร์ม และพัฒนาคุณภาพ บริษัทไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป กล่าวว่า บริษัทมีค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าปีละ 500 ล้านบาท โครงการนี้จะช่วยลดต้นทุนได้ประมาณ 6-10% ตกประมาณ 30-50 ล้านบาท/ปี ซึ่งในอนาคตมีโอกาสจะช่วยลดต้นทุนได้ถึง 20% เพราะบริษัทมีโรงงานและฟาร์มเพิ่มขึ้น โดยในปี 2563 บริษัทตั้งงบจำนวน 2,000-2,500 ล้านบาท ในการลงทุนโรงอาหารสัตว์ที่กบินทร์บุรี ฟาร์มเลี้ยงสุกร 6 แห่ง ทำให้มีความต้องการ ใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และรายได้เติบโตทุกปี ๆละ 10-15%

” ปีหน้าเราลงทุนมากกว่าที่ผ่านมา โดยพิจารณาจากกำไรและกระแสเงินสดที่เข้ามามาก เพื่อดูแลไม่ให้สัดส่วนหนี้ต่อทุน (D/E) เกิน 2 เท่า ปัจจุบ้นอยู่ที่ 1.4 เท่า ปีหน้าจะเพิ่มเป็น 1.8 เท่า ขณะที่ผลดำเนินงานดีขึ้น เนื่องจากมีการส่งออกไก่ปรุงสุก โดยเฉพาะจีน เพิ่มขึ้นจาก 5,000 ตัน/ปี เพิ่มเป็น 12,000 ตัน ส่วนไก่ดิบเพิ่มจาก 5 หมื่นตัน/ปีเป็น 6 หมื่นตัน ซึ่งไก่ปรุงสุกมีอัตรากำไรสุทธิสูงกว่าไก่ดิบ ส่วนอาหารสัตว์ ใช้เอง 70% และขาย 30%” นายเพชรกล่าว