ไล่ซื้อแบงก์ถูก หนุนดัชนีพุ่ง 14 จุด บล.บัวหลวงชี้เป้า GULF 300 บาท

HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นไทยพุ่งแรง 0.94% สวนตลาดภูมิภาค   นักลงทุนไล่ซื้อหุ้นแบงก์ใหญ่หลังราคาลงมาลึก KBANK ต่ำสุด 8 ปี เตือนอย่าเพิ่งไว้วางใจ กำไรขาลง GULF วิ่งต่อเข้าเป้าแรก 200 บาท นักวิเคราะห์ให้เป้าใหม่ 300 บาท มูคค่าเพิ่มจากโครงการลงทุน  เลือกซื้อค้าปลีก CPALL ขาย BJC  หลังยอมรับยื่นเสนอซื้อกิจการ “เทสโก้ โลตัส” ในไทย  ทางด้านปตท.บอร์ดอนุมัติแผนลงทุน 5 ปีวงเงิน 180,814 ล้านบาท เตรียมรองรับอนาคตอีก 203,583 ล้านบาท 

การซื้อขายหุ้นวันที่ 16 มกราคม 2563 ปรับตัวขึ้นแรงเกินคาดการณ์ นักลงทุนหันมาสนใจหุ้นธนาคารใหญ่ แรงไล่ซื้อหุ้นธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ปิดที่ 138 บาท บวก 6.50 บาทหรือ 4.94% ด้วยมูลค่าการขายมากที่สุด 3,602 ล้านบาท รวมถึงหุ้นไฟฟ้า นำโดยบริษัทกัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ที่ราคาปรับตัวขึ้นถึงเป้าหมายแรก 200 บาท ส่งผลบวกต่อหุ้นไฟฟ้าตัวอื่นๆด้วย ส่วนค้าปลีก แรงซื้อ CPALL ขาย BJC หลังผู้บริหารยอมรับสนใจซื้อกิจการเทสโก้ โลตัสในประเทศไทย กังวลเรื่องเพิ่มทุน

มาร์เก็ตติงกล่าวว่า นักลงทุนหันมาสนใจซื้อหุ้นธนาคารใหญ่ นำโดย KBANK จากปัจจัยราคาหุ้นไหลลงมาลึกต่ำสุดในรอบประมาณ 8 ปี คาดได้รับความสนใจชั่วคราว เนื่องจากตลาดยังมีความกังวลเรื่องกำไรที่จะออกมาไม่ดีในไตรมาส 4 และในปีหน้า เนื่องจากความต้องการใช้สินเชื่อยังคงชะลอตัว และมาตรการ และกฎเกณฑ์ยังเข้ามากระทบการดำเนินงาน

ขณะเดียวกันแรงซื้อหุ้นไฟฟ้ายังคงมีต่อเนื่อง นำโดย GULF ที่สามารถขึ้นไปสูงสุดถึง 200 บาท ก่อนจะอ่อนตัวลงปิดที่ 197.50 บาท ปิดที่ 197.50 บาท บวก 6.50 บาทหรือ 3.40% รวมถึงแรงขายหุ้น BJC หลังจาก นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ห้างค้าปลีกในกลุ่ม บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี เปิดเผยว่า สนใจซื้อกิจการเทสโก้ โลตัสในประเทศไทย เพื่อต่อยอดธุรกิจค้าปลีก โดยได้ยื่นเจตจำนงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ 3 ตัวแปรหลัก คือ ราคา การแข่งขัน และกฏหมาย ส่วนราคาแพงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหน

ก่อนหน้านี้มีการประเมินมูลค่าของการซื้อขายครั้งนี้ประมาณ 9,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 2.7 แสนล้านบาท

ทางด้านบริษัทหลักทรัพย์(บล.) บัวหลวง ออกบทวิเคราะห์หุ้น GULF ราคามีโอกาสไปถึง 300 บาท จากราคาเป้าหมายปัจจุบันที่ 200 บาท โดยประเมินว่า โครงการที่มีในมือ เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคาเป้าหมายปรับขึ้นได้อีก หลายโครงการยังมี upside ต่อราคาหุ้นได้ ทั้งโรงไฟฟ้า Ca Na LNG ในประเทศเวียดนาม มีโอกาสพัฒนากำลังผลิตได้สูงถึง 6,000 เมกะวัตต์ (MW) สัดส่วนการถือหุ้นราว 70-75% คิดเป็นกำลังการผลิตส่วนเพิ่ม 4,200-4,500 เมกะวัตต์ คาดได้ข้อสรุปในปี 2563 โครงการนี้มี upside ประมาณ 23-29 บาท
นอกจากนี้ ก็มีโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศลาว

สำหรับโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Run-of-river อีก 3 โครงการ ถือหุ้น 30-40% อาจมีการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายในระยะเวลา 1-3 ปีข้างหน้า มี upside ประมาณ 24-43 บาท

นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปตท. (PTT) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 16 มกราคม ได้มีมติอนุมัติแผนลงทุน 5 ปี (ปี 2563-2567) ของปตท. และบริษัทที่ปตท.ถือหุ้น 100% วงเงินรวม 180,814 ล้านบาท  โดยส่วนใหญ่ คือประมาณ 122,235 ล้านบาท เป็นการร่วมทุนและการลงทุนในบริษัทที่ปตท.ถือหุ้น 100% ตามด้วยธุรกิจท่อส่งก๊าซธรรมชาติ 31,725 ล้านบาท สำหรับปี 2563 ใช้เงินลงทุน 69,310 ล้านบาท

บริษัทปตท. ยังคงมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจหลัก (Core Businesses) ได้แก่กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ทั้งในส่วนที่ปตท.ดำเนินการเอง(ธุรกิจก๊าซธรรมชาติและท่อส่งก๊าซธธรมชาติ)และลงทุนผ่านบริษัทที่ปตท.ถือหุ้น 100% อาทิการขยายขีดความสามารถของสถานีรับจ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) รวมทั้งการร่วมทุนและการลงทุนในบริษัทที่ ปตท.ถือหุ้น 100% อื่นๆ เช่นการขยายงานของธุรกิจน้ํามันและธุรกิจค้าปลีกทั้งในประเทศและต่างประเทศ

นอกจากนี้ปตท.ยังได้จัดเตรียมงบลงทุนในอนาคต ในระยะ 5 ปีข้างหน้าจํานวน 203,583 ล้านบาท เพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่ม และเสริมความร่วมมือของกลุ่มปตท. จากความชํานาญของธุรกิจเดิม อาทิ LNG Value Chain โครงการ Gas-to-Power รวมทั้งการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานเพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ การพัฒนาประเทศรวมถึงตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีพฤติกรรมผูู้บริโภคและแนวโน้มการใช้พลังงานสะอาด