บล.บัวหลวง แนะหลัก “จัดพอร์ตลงทุน” รับมือหุ้นผันผวน

HoonSmart.com>>บล.บัวหลวง แนะใช้หลักการ  “จัดสรรพอร์ตลงทุน” รับมือตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน กระจายเงินลงทุน 5 สินทรัพย์หลัก สร้างสมดุลผลตอบแทน-ความเสี่ยง

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง  แนะนำ หลักการ “จัดสรรพอร์ตการลงทุน” หรือ Asset Allocation เพื่อรักษาระดับความเสี่ยงและผลตอบแทน ให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าว เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นต่อเนื่องปี 62  จากภาวะความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่าน และปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน

   ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ

กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในช่วงนี้ ควรเน้นกระจายความเสี่ยงออกไปใน 5 สินทรัพย์หลัก คือ 1. ตลาดหุ้น สัดส่วนลงทุนประมาณ 23% แบ่งเป็นหุ้นไทยประมาณ 9% หุ้นเวียดนามประมาณ 9% และหุ้นสหรัฐฯประมาณ 5% ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยมีอัพไซด์ค่อนข้างจำกัด เพราะกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 63 อาจขยายตัวได้ไม่มากนัก

2. กองทรัสต์เพื่อการลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์ (REIT) ประเภทอาคารสำนักงานให้เช่าและค้าปลีก สัดส่วนลงทุนเฉลี่ย 13%

3. ทองคำ สัดส่วนลงทุนเฉลี่ย 16% เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเติบโตเศรษฐกิจขยายตัวน้อยกว่าคาดการณ์ และเหตุการณ์สงคราม จากการวิเคราะห์เชิงปริมาณ คาดว่าในเดือนม.ค.นี้ ราคาทองคำจะแกว่งในกรอบ 1,491-1,620 เหรียญต่อออนซ์

4.4.ตลาดเงิน สัดส่วนลงทุนเฉลี่ย 6% และ 5.หุ้นกู้ภาคเอกชนระดับ BBB+ขึ้นไป สัดส่วนลงทุนเฉลี่ย 42%

นายชัยพร มองตลาดหุ้นปี 2563 ว่า ดัชนีอาจแกว่งตัวเหมือนปีก่อน ให้กรอบบนที่ระดับ 1,680-1,695 จุด บนค่า P/E 16.5 เท่า และกรอบล่างระดับ 1,480-1,500 จุด บนค่า P/E 14.5 เท่า ส่วนกำไรต่อหุ้น (ESP) ของบริษัทจดทะเบียน อาจอยู่ระดับ 102 บาทต่อหุ้น เติบโตประมาณ 22% จากปี 62 ที่อยู่ระดับ 83 บาทต่อหุ้น

ธีมการลงทุนปีนี้  เน้นลงทุนหุ้น 3 กลุ่ม คือ 1.หุ้นที่มีความปลอดภัย (Defensive Stock) เช่น กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ (หุ้นรถไฟฟ้า) ,กลุ่มโรงไฟฟ้า ,กลุ่มหุ้นค้าปลีก และกลุ่มไฟแนนซ์

2.กลุ่มปิโตรเคมีและกลุ่มน้ำมันที่จะได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของภาคการผลิตของโลก และ 3.กลุ่มรับซื้อและปรับโครงสร้างหนี้ เช่น หุ้น BAM ,หุ้น JMT และหุ้น CHAYO

ส่วนกลุ่มที่ต้องใช้ความระมัดระวัง คือ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มีความเสี่ยงเรื่องความต้องการซื้อชะลอตัว และกลุ่มธนาคาร ที่ต้องระวังเรื่องการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น

“มอร์แกน สแตนลีย์ วิเคราะห์ว่า ภาวะตึงเครียดของตะวันออกกลาง อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย คาดว่า ปีนี้ราคาน้ำมันดิบ WTI จะอยู่ระดับเฉลี่ย 62 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เทียบกับปีก่อนที่อยู่ระดับ 58 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์ อาจอยู่ระดับเฉลี่ย 68 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล” นายชัยพร กล่าว