“ทีเอ็มบี-ธนชาต” ผนึกกำลัง เดินแผนรวมกิจการรวมเป็นหนึ่งเดียว

HoonSmart.com>>“ทีเอ็มบี-ธนชาต” เดินหน้าแผนรวมกิจการ คาดเสร็จสิ้นภายในเดือนกรกฎาคม 2564  เตรียมความพร้อมดูแลลูกค้าของทั้งสองธนาคารและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ รวมทั้งบริการใหม่ๆ ยึด Employee Well-being ดูแลพนักงานให้ได้รับสวัสดิการเท่าเทียมกัน ผสานจุดแข็งเสริมศักยภาพในการดำเนินธุรกิจรอบด้านเทียบชั้นแบงก์ขนาดใหญ่ทั้งในระดับประเทศและระดับอาเซียน

นางวิจิตรา ธรรมโพธิทอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านทรัพยากรบุคคล ทีเอ็มบี และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการทรัพยากรบุคคลกลาง ธนาคารธนชาต เปิดเผยว่า แผนการรวมกิจการอย่างบูรณาการของทั้งสองธนาคารมีความคืบหน้าอย่างมากในขณะนี้ ซึ่งเชื่อมั่นว่ากระบวนการต่อจากนี้ไปจะสามารถบรรลุเป้าหมายตามแผนงานที่วางไว้ในการหลอมรวมเป็นธนาคารหนึ่งเดียวแห่งใหม่ที่มีศักยภาพและความสามารถในการแข่งขัน พร้อมดูแลลูกค้าและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ทางธนาคารที่ดีกว่า รวมทั้งช่วยยกระดับชีวิตทางการเงินลูกค้าให้ดีขึ้น โดยการนำจุดแข็งมาส่งเสริมกันและกัน เพื่อสานประโยชน์ทางธุรกิจอย่างรอบด้าน

อย่างไรก็ตาม กระบวนการรวมกิจการทั้งสองธนาคารจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนกรกฎาคม 2564 สำหรับการโอนย้ายพนักงานจากธนชาตไปธนาคารใหม่นั้น ได้เริ่มดำเนินการสื่อสารและจะเริ่มดำเนินการโอนการจ้างพนักงานตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นไป และจะมีการทยอยโอนย้ายเป็นระยะ โดยเริ่มที่กลุ่มผู้บริหารระดับสูง (C-Suite Level) ได้มีการรวมเป็นทีมเดียวเพื่อช่วยกันขับเคลื่อนการรวมกิจการให้เป็นไปอย่างราบรื่น ส่วนพนักงานระดับหัวหน้างาน (Top Management Level) จากทั้งสองธนาคารได้ร่วมกิจกรรม Team Building กันตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เพื่อกระชับความสัมพันธ์ รวมทั้งเริ่มทำงานร่วมกันในส่วนของกระบวนการรวมการดำเนินงาน (Business Integration)

นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดโปรแกรมให้พนักงานธนชาตได้เริ่มทดลองใช้โซลูชันของทีเอ็มบีในส่วนของบัญชี ทีเอ็มบี ออลล์ ฟรี และทีเอ็มบี ทัช ขณะที่พนักงานทีเอ็มบีก็ได้เริ่มเรียนรู้ผลิตภัณฑ์และบริการของธนชาต เช่น สินเชื่อรถยนต์ เตรียมพร้อมเป็นตัวแทนขององค์กรใหม่ที่จะแนะนำและบอกต่อผลิตภัณฑ์ดีๆ ให้กับลูกค้า

นางวิจิตราย้ำว่า “พนักงานนับเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนองค์กร การรวมกิจการในครั้งนี้ ทีมบริหารได้พิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้แน่ใจว่าพนักงานทั้งสองธนาคารทุกคนจะต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันในเรื่องสวัสดิการและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน (Employee Well-being) นั่นคือ พนักงานต้องได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงการสร้างความเข้มแข็งทางการเงินให้กับพนักงานได้อย่างยั่งยืนในระยะยาวเป็นสำคัญ ทางธนาคารได้ให้เงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ในอัตราที่สูงกว่าตลาดเพื่อให้พนักงานสามารถเก็บออมได้เพียงพอไว้ใช้ยามเกษียณ

ส่วนสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลนั้น ธนาคารจัดแผนตรวจสุขภาพโดยคำนึงถึงวัยและอายุของแต่ละคนเป็นหลัก เพราะเชื่อว่าความจำเป็นของการตรวจขึ้นอยู่กับอายุร่างกาย ไม่ใช่ตำแหน่งหรืออายุงาน ยิ่งไปกว่านั้นเราให้น้ำหนักกับเงินก้อนช่วยเหลือฉุกเฉินยามเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งจะสร้างผลกระทบที่มากกว่า ด้วยจำนวนเงินที่ต้องใช้จ่ายมากกว่าการเจ็บป่วยปกติ โดยยังคงเปิดโอกาสให้พนักงานได้เลือกแผนสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลที่เหมาะสมกับตนเอง นอกจากนี้เรายังมีสวัสดิการเงินกู้สำหรับพนักงานที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์การกู้ยืมของธนาคาร เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระและช่วยให้ทุกคนได้ไปถึงเป้าหมายในชีวิตของตนเองได้”

ทั้งนี้ เมื่อกระบวนการรวมกิจการเสร็จสิ้น ธนาคารจะมีสินทรัพย์รวมเกือบ 2 ล้านล้านบาท ก้าวสู่ธนาคารที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ในระบบธนาคารพาณิชย์ไทยและมีจำนวนฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็น 10 ล้านราย ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์อื่นทั้งในระดับประเทศและระดับอาเซียนให้ดีขึ้น ส่งเสริมศักยภาพในการดำเนินธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญอันจะส่งผลดีต่อความสามารถในการสร้างรายได้ รวมทั้งความสามารถในการทำกำไรและอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นในระยะยาว