บล.เคทีบี มอง “โคโรนา” ขยายวง กระทบธุรกิจรถยนต์ซ้ำ “ปรับลดน้ำหนัก” ลงทุน

HoonSmart.com>> บล.เคทีบี มอง “ไวรัสโคโรนา” ขยายวงกระทบธุรกิจรถยนต์ในจีน ปรับน้ำหนักลงทุนต่ำกว่าตลาด แนะจับตากลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ในไทย หากสถานการณ์ยืดเยื้ออาจกระทบ Supply chain การส่งออกที่ลดลงจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอยู่เดิม

                      อำนาจ โงสว่าง

นายอำนาจ โงสว่าง ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST SEC เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในประเทศจีนนอกจากจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวแล้ว อีกกลุ่มที่สำคัญต่อไทย คือ กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวของกับการผลิตรถยนต์ ซึ่งจากการระบาดของโรคทำให้โรงงานผู้ผลิตรถยนต์ในพื้นที่ที่มีปัญหาการแพร่ระบาดได้มีการอพยพคนงานกลับประเทศ

“KTBST SEC ประเมินว่า หากสถานการณ์ยืดเยื้อต่อไปจะส่งผลให้โรงงานรถยนต์รายใหญ่ในจีนอาจหยุดผลิตนานขึ้นและมีผลกระทบลามมาถึงฐานการผลิตในไทย เนื่องจากปัจจุบันมีรถยนต์บางรุ่นที่ต้องนำเข้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ภายในรถยนต์มาจากจีน ซึ่งปัจจุบันค่ายรถยนต์มีการสต็อกชิ้นส่วนดังกล่าวไว้เพียง 1 เดือนเท่านั้น”นายอำนาจ กล่าว

ทั้งนี้ มุมมองของ KTBST SEC ต่อการลงทุนในหุ้นกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ ได้แก่ AH, SAT, STANLY ยังต้องเฝ้าระวังมากกว่า โดยในแง่ของการหยุดผลิตรถยนต์ของผู้ผลิตรถยนต์ในจีน คาดว่าหุ้นอย่าง SAT, STANLY จะไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากไม่มีได้การส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ไปจีน ขณะที่หุ้น AH จะมีผลกระทบจำกัดเนื่องจาก AH มีการถือหุ้นผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในจีน แต่สัดส่วนต่อกำไรค่อนข้างน้อย

ขณะที่ผลกระทบในด้านผู้ผลิตรถยนต์ในไทยที่อาจมีปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการผลิตรถยนต์ ยังมองเป็นปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวัง หากโรงงานผลิตชิ้นส่วนในจีนมีการหยุดผลิตที่นานเกิน 1 เดือน อาจส่งผลกระทบต่อระบบห่วงโซ่ (Supply chain) ในการผลิตรถยนต์บางรุ่นในไทยได้ แต่หากค่ายรถยนต์สามารถปรับแผนหันไปใช้โรงงานผลิตจากแหล่งอื่นได้ จะไม่มีผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์ในไทยทั้ง SAT, STANLY และ AH

ส่วนกลุ่มผู้ผลิตยางรถยนต์ ได้แก่ STA, NER อาจเป็นลบหากผู้ประกอบการรถยนต์ในจีนประสบปัญหา อาจจะทำให้ความต้องการล้อยางรถยนต์ลดลงและส่งผลต่อความต้องการยาง ซึ่งจะกระทบต่อหุ้นอย่าง STA และ NER เนื่องจากปัจจุบัน STA มีสัดส่วนรายได้จากลูกค้าจีน 30% ส่วน NER มีสัดส่วนรายได้จากลูกค้าจีน 30%-40%

อย่างไรก็ตามโดยภาพรวม KTBST SEC ยังมองเป็นปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวัง โดยกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ แนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุน (Underweight) และมีมุมมองไปที่ยอดขายรถยนต์ในประเทศและเศรษฐกิจโลกที่จะมีผลกระทบต่อการส่งออกรถยนต์มากกว่า ซึ่งจะส่งผลให้ยอดผลิตรถยนต์ปี 2020 มีแนวโน้มชะลอตัว

ทั้งนี้ หุ้นอย่าง SAT เราแนะนำ “ถือ” ที่ราคาเป้าหมาย 14.00 บาท ส่วนกลุ่มยางอย่างหุ้น STA แนะนา “ถือ” ที่ราคาเป้าหมาย 11.25 บาท KTBST SEC คาดว่าหุ้น STA ระยะสั้นจะยังได้บรรยากาศ เชิงบวกบางส่วนจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ที่จะมีส่วนช่วยในการเพิ่มยอดขายถุงมือยางเพื่อป้องกันเชื้อโรคเพิ่มขึ้น

ส่วนหุ้น NER ยังแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 3.40 บาท จากการเพิ่มกำลังการผลิตยางผสมที่มีมาร์จิ้นสูง จะส่งผลดีในระยะยาว แต่ในระยะสั้นอาจจะได้รับแรงกดดันจากผู้ประกอบการรถยนต์ในจีนลดกำลังการผลิตลง