ปตท.ปิดทางซื้อหุ้นคืน ภัยแล้งกระทบปิโตรฯ-ไฟฟ้า

HoonSmart.com>>ปตท.ลั่นไม่เปิดโครงการซื้อหุ้นคืน อ้างสร้างดีมานด์เทียม ได้กำไรไม่ยั่งยืน ยอมรับกำไรปีนี้เจอความท้าทายหลายด้าน ภัยแล้งเสี่ยงเกิดภาวะขาดแคลนน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก แหล่งที่ตั้งโรงงานกลุ่มปตท. “ชาญศิลป์” เสนอรัฐแก้ปัญหาระยะยาว เปิดประมูลรัฐ-เอกชน เพื่อให้เอกชนผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล ส่วนหุ้นไฟฟ้าร่วงระนาว กังวลภัยแล้งกระทบผลิตไม่เต็มที่ ผสมราคาวิ่งแรงเกินไป เจอขายทำกำไรสลับไปหาหุ้นกลุ่มใหม่

นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า บริษัทปตท.(PTT) ยังไม่มีแผนที่จะซื้อหุ้นคืน หลังจากราคาหุ้นปตท.ปรับลดลงมาก เพราะมองว่าการซื้อหุ้นคืนเป็นการสร้างดีมานด์ที่ไม่ถูกต้อง การซื้อขายหุ้นควรเป็นไปตามความต้องการของตลาด และการซื้อหุ้นคืนแม้อาจจะทำให้มีกำไรส่วนต่างราคา (capital gain) แต่ก็ไม่ใช่กำไรที่แท้จริง การสร้างกำไรที่แท้จริงควรมาจากการผลิต การลดต้นทุน ซึ่งจะมีความยั่งยืน

อย่างไรก็ตามปตท.ไม่ได้ปิดกั้นหากบริษัทลูกจะใช้นโยบายการซื้อหุ้นคืน เพราะการดำเนินงานขึ้นอยู่กับผู้ถือหุ้น และกรรมการของแต่ละบริษัท ก่อนหน้านี้ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ได้ซื้อหุ้นคืนแล้วและปิดโครงการไปแล้ว

ส่วนการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทปตท.ในปีนี้ยังคงเผชิญกับปัจจัยท้าทายทั้งการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่กระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน และสถานการณ์ภัยแล้งที่ยังมีความเสี่ยงจะส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก ซึ่งเป็นแหล่งที่ตั้งของอุตสาหกรรมหลักของประเทศ รวมถึงของกลุ่ม ปตท.ด้วย  เบื้องต้นกลุ่ม ปตท.มีแผนลดการใช้น้ำลง และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เบื้องต้นรัฐบาล โดยคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ได้เข้ามาดูแลและบูรณาการทุกฝ่ายเพื่อให้มีน้ำเพียงพอ สามารถผ่านพ้นปัญหาขาดแคลนน้ำในภาคอุตสาหกรรมไปได้ในปีนี้

สำหรับระยะยาวเห็นว่าน้ำเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องไม่ให้ขาดแคลนและมีความมั่นคง เหมือนไฟฟ้า และสาธารณูปโภคอื่น ๆ ทั้งถนน และรถไฟ เบื้องต้นได้เสนอ กนช.ให้เปิดประมูลในรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) เพื่อให้เอกชนผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล ซึ่งควรอยู่ในพื้นที่แหลมฉบัง มาบตาพุด จ.ชลบุรี และระยอง  บริษัทในกลุ่ม ปตท.มีความพร้อมทั้ง บริษัทพีทีที โกลบอล เคมิคอล  และบริษัทไทยออยล์ (TOP) แต่ขึ้นกับเงื่อนไขของ PPP

“ปีนี้ยังมีความเสี่ยงอยู่ เราพึ่งฟ้าฝนอย่างเกษตรไม่ได้ อุตสาหกรรมต้องมีน้ำหล่อเลี้ยงตลอดเวลา เหมือนต้องมีไฟหล่อเลี้ยงตลอดเวลา และคงที่ เพราะฉะนั้นจะกระทบแน่นอน ถ้าหากสามารถผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลได้ในสัดส่วน 10-20% ก็จะช่วยลดผลกระทบในภาวะที่ขาดแคลนน้ำจากธรรมชาติลงได้บ้าง”นายชาญศิลป์ กล่าว

ส่วนกรณีที่มีโรงงานในจีนหลายแห่งหยุดผลิตในช่วงโรคระบาด นายชาญศิลป์ กล่าวว่า มีทั้งด้านบวกและลบ อาจจะทำให้กำลังซื้อเม็ดพลาสติกจากจีนลดลงไป แต่กลุ่มปตท.ได้ลดการพึ่งพิงตลาดจีนลงไปมากเหลือส่งออกไปจีนเพียง 30-40% จากเดิมที่ส่งออกไป 60-70% โดยหันส่งออกไปตลาดอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกา เป็นต้น ขณะที่อาจเป็นโอกาสของไทยที่จะผลิตสินค้าทดแทนการผลิตจากจีนด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้สถานการณ์ราคาปิโตรเคมีที่ปรับลงมาค่อนข้างมากแล้ว  อาจเห็นหลายโรงงานในยุโรปค่อย ๆ ลดกำลังการผลิตถึงปิดตัวลง เพราะโรงงานเปิดมานาน  ส่วนของกลุ่ม ปตท.ที่มีอายุราว 20-30 ปี ในปีนี้จะเดินเครื่องผลิตเต็มที่หลังจากที่ได้หยุดซ่อมบำรุงส่วนใหญ่ไปเมื่อปีที่ผ่านมา การผลิตของกลุ่มปตท.คิดเป็นส่วนน้อยราว 3-4% ของทั้งโลก และยังได้ส่งออกกระจายไปทั่วโลก ก็อาจจะเป็นโอกาสทางธุรกิจของกลุ่มปตท.ด้วย

สถานการณ์ค่าเงินบาทที่ยังอยู่ในโหมดแข็งค่า ก็จะเป็นโอกาสในการลงทุน  ส่วนไหนลงทุนเพิ่มได้ก็จะลงทุนโดยทันที อย่างการร่วมทุนโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะ 3 นั้น คาดว่าจะมีการถมทะเลในปีนี้ ส่วนการร่วมทุนโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 หากมีความชัดเจนและภาครัฐประกาศการลงทุนได้ในช่วงไตรมาส 1-2 ปีนี้ ก็คาดว่าจะเริ่มลงทุนได้ในปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า

ทางด้านการซื้อขายหุ้นไฟฟ้า วันที่ 6 ก.พ. มีการปรับตัวลงตัวลงแรงมาก นำโดย บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ปิดที่ 187 บาทรูดลง 10 บาทคิดเป็น 5.08% ตามด้วย BGRIM ปิดที่ 57 บาท ร่วง 4.75 บาทหรือ -7.69%

นักวิเคราะห์กล่าวว่า แรงขายหุ้นไฟฟ้า เกิดจากการทำกำไรหลังจากราคาปรับตัวขึ้นมามาก เพื่อย้ายไปหากลุ่มใหม่ เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ โรงกลั่นที่มีการกลั่นดีขึ้น รวมถึงปิโตรเคมีที่ราคาขายเริ่มฟื้นตัว นอกจากนี้นักลงทุนส่วนหนึ่งยังมีความกังวลว่าโรงไฟฟ้าที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกอาจเผชิญปัญหาจากภัยแล้ง ทำให้การผลิตกระแสไฟฟ้าไม่ได้เต็มกำลังการผลิต ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในปี 2563 จึงมีการขายออกมา และคาดว่าน่าจะมีอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางปัจจัยบวกในต่างประเทศที่มีมากขึ้น ดึงดูดให้นักลงทุนย้ายเงินออกจากหุ้นไฟฟ้าที่ถือว่ามีความปลอดภัย ไปหาหุ้นที่ราคาลงมามาก และมีข่าวดีสนับสนุน