“อีสท์สปริง”ผงาดขึ้นอันดับ 4 บลจ.ในไทย ควบบลจ.ทหารไทย-ธนชาตจบปี 64

HoonSmart.com>> “อีสท์สปริง อินเวสท์เมนทส์” ซื้อหุ้นบลจ.ธนชาต 50.1% ฉลุยหนุน AUM พุ่งแตะ 6.68 แสนล้านบาท ผงาดขึ้นเป็นบลจ.ขนาดใหญ่อันดับ 4 ของไทย เดินหน้าควบรวมกับบลจ.ทหารไทย คาดจบปี 64 ชูจุดแข็ง 2 บลจ.เสริมซึ่งกันและกัน

อีสท์สปริง อินเวสท์เมนทส์ (Eastspring) บริษัทจัดการลงทุนในภูมิภาคเอเชียบริหารสินทรัพย์กว่า 216,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ของกลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล (Prudential) จัดแถลงข่าวหลังเข้าซื้อหุ้นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาต จำนวน 50.1% จากธนาคารธนชาตและธนาคารออมสิน (GSB) และจะเปลี่ยนชื่อเป็น Thanachart Fund Eastspring

การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ส่งผลให้อีสท์สปริงก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุนที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศไทยผ่านการถือหุ้นใน Thanachart Fund Eastspring และ TMBAM Eastspring (บลจ.) ทหารไทย โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาด 12% และมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการสุทธิ 668,000 ล้านบาท หรือประมาณ 22,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

นายนิค นิแคนดรู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พรูเด็นเชียล คอร์ปอเรชั่น เอเชีย กล่าวว่า การเข้าซื้อหุ้นกิจการในครั้งนี้เป็นการต่อยอดความสำเร็จของอีสท์สปริงจากการเข้าถือหุ้น 65% ในบลจ.ทหารไทย (TMBAM Eastspring) เมื่อเดือนก.ย.2561 ที่ผ่านมา อีกทั้งยังเป็นการเข้าซื้อกิจการที่มีศักยภาพสูงในตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทยและเป็นการกระชับความสัมพันธ์กับธนาคารทีเอ็มบีและธนาคารธนชาตให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตามหลังจากนี้อีสท์สปริงจะควบรวมกิจการของบลจ.ธนชาตเข้ากับบลจ.ทหารไทย ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2564 โดยจะนำจุดแข็งของทั้ง 2 บริษัทมานำเสนอผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้า ขณะที่อีสท์สปริงจะนำความรู้ความสามารถมาสนับสนุน

พร้อมยืนยันว่ากลุ่มพรูเด็นเชียลยังคงเดินหน้าลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง แม้เศรษฐกิจโลกและไทยเติบโตชะลอลง อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลงและมีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ก็ตาม ซึ่งพรูเด็นเชียลดำเนินธุรกิจในเอเชีย 95 ปีเชื่อว่าในสังคมต้องมีการออมทรัพย์และประกันชีวิต ซึ่งตลาดไทยเป็นมีแนวโน้มการเติบโต

“ในฐานะผู้ให้บริการประกันชีวิตและบริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์ชั้นนำของเอเชีย พรูเด็นเชียลมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในการช่วยดูแลสุขภาพและเพิ่มความมั่งคั่งให้แก่ลูกค้า การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะช่วยให้เราสามารถมอบโอกาสที่หลากหลายด้านการลงทุนที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรมและเหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย อีกทั้งยังเป็นฐานในการเร่งการเติบโตของเราในตลาดสำคัญนี้อีกด้วย”นายนิค กล่าว

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย (TMB) กล่าวว่า หลังการเข้ามาซื้อหุ้นบลจ.ทหารไทยของอีสท์สปริงเมื่อปี 2561 ส่งผลให้ AUM ของบลจ.ทหารไทยหรือ TMBAM Eastspring เติบโตมากกว่า 20% และมีฐานลูกค้าที่เติบโตขึ้นขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยการเสนอขายกองทุนใหม่ (IPO) ที่มีขนาดกองทุนใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาของบริษัทถึง 2 กองทุน ได้แก่ กองทุน TMB Eastspring Global Smart Bond Fund และกองทุน Thanachart Eastspring Global Technology Fund

“เรามุ่งมั่นที่จะได้ทำงานร่วมกับ TMBAM Eastspring และ Thanachart Fund Eastspring ในอนาคต ด้วยจุดแข็งที่แตกต่างแต่ส่งเสริมซึ่งกันและกันของทั้งสองบริษัท ผนวกกับการได้รวมกิจการของธนาคารทีเอ็มบีและธนาคารธนชาตที่จะกลายเป็นธนาคารใหม่ที่มีศักยภาพมากยิ่งขึ้นและมีช่องทางการให้บริการเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 900 สาขา ช่วยทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงเครื่องมือด้านการลงทุนต่างๆ ที่หลากหลายในราคาที่จับต้องได้มากขึ้น และทำให้มีชีวิตทางการเงินที่ดียิ่งขึ้น” นายปิติ กล่าว

นอกจากนี้การควบรวมของทั้ง 2 บลจ.จะช่วยลดต้นทุนการบริหารและเพิ่มโอกาสของคนไทยในการออกไปลงทุนในต่างประเทศสะดวกขึ้นเพิ่มทางเลือกในการลงทุนมากขึ้น ซึ่งบลจ.ธนชาต มีจุดแข็งในด้านการลงทุนเชิงรุกในหุ้น สินทรัพย์ผสม ตลาดเงิน และตราสารหนี้ ในขณะที่ TMBAM Eastspring มีความสามารถด้านการลงทุนเชิงรับในหุ้น อสังหาริมทรัพย์ ตราสารหนี้ และกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ

ขณะที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดขนาดใหญ่ที่มีการเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาคอาเซียน จากการเติบโตของชนชั้นกลาง ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้น วัฒนธรรมการออมที่เข้มแข็ง และอัตราการเข้าถึงกองทุนรวมที่ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว

นายปิติ กล่าวว่า ตามแผนในการเข้ามาลงทุนของอีสท์สปริง TMB จะลดสัดส่วนการถือหุ้นในบลจ.ทหารไทยและบลจ.ธนชาตเหลือ 0% ในอีก 5 ปีข้างหน้าหรือภายในปี 2567 จากปัจจุบันถือหุ้นบลจ.ทหารไทย 30% และถือหุ้นบลจ.ธนชาต 49%