BAM ฟื้น ทริสจัดเรทติ้ง ที่ “A-” บล.กสิกรฯ ชี้ต่ำกว่าคาด 1 ขั้น รอผลฟิทช์

HoonSmart.com>>HoonSmart.com>>หุ้นบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ เด้งกลับบวก 4.50% หายตกใจเครดิตลดลง ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรที่ A- สะท้อนความเป็นผู้นำในตลาด  บล.กสิกรไทยชี้เรทติ้งน้อยกว่าที่คาด แนะรอผลจัดอันดับของฟิทช์ที่จะออกมาใน 1-2 สัปดาห์ หากเท่ากับและราคาหุ้นต่ำกว่า 25 บาท มองเป็นโอกาสซื้อ 

นักลงทุนหันกลับมาลงทุนหุ้นบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) อีกครั้ง วันที่ 18 ก.พ. ราคาปิดที่ 29 บาท บวก 1.25 บาทคิดเป็น 4.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4,961 ล้านบาท สวนทางกับตลาดหุ้นโดยรวมไหลลง 13 จุด และเป็นการดีดกลับแรง จากวันก่อนราคาดิ่งลงเกือบ 12% หรือ 3.75 บาท ปิดที่ 27.75 บาท เพราะความกังวลเรื่องอันดับเครดิตถูกปรับลดลง เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงิน

บริษัททริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ ที่ระดับ “A-” ด้วยแนวโน้ม “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความชำนาญและความเป็นผู้นำในตลาดบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงรายได้หลักที่ค่อนข้างมั่นคงและแข็งแกร่ง ตลอดจนระดับการก่อหนี้ที่ต่ำ และการกระจายตัวที่ดีของแหล่งเงินทุนด้วย

จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่นการกำหนดราคาซื้อสินทรัพย์และการกระจุกตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ทริสมองว่าความเชี่ยวชาญของบริษัทในการตั้งราคาซื้อและการกระจายตัวของประเภทสินทรัพย์และสถานที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์จะช่วยลดทอนความเสี่ยงลงได้มาก

BAM มีความแข็งแกร่งทางธุรกิจ มีสถานะทางการตลาดที่เข้มแข็งจากการเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีปัจจัยเกื้อหนุนจากการมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจและเงินทุนกับธนาคารที่หลากหลายและยาวนาน

นอกจากนี้ บริษัทยังมีฐานข้อมูลที่กว้างขวาง รวมทั้งมีผู้บริหารและพนักงานที่มีประสบการณ์สูง ซึ่งเป็นประโยชน์ในการตั้งราคาซื้อที่เหมาะสมและช่วยบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ช่วยให้สามารถขยายพอร์ตสินทรัพย์ได้อย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา โดยสินทรัพย์ที่บริหารประกอบด้วยเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้ ลูกหนี้ขายผ่อนชำระ และทรัพย์สินรอการขาย บริษัทยังมีรายได้ที่ค่อนข้างสม่ำเสมออีกด้วย โดยในปี 2561 กระแสเงินสดรับประมาณ 65% มาจากการบริหารสินทรัพย์ที่มาจากเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้ด้อยคุณภาพ

บริษัทมีหนี้อยู่ในระดับต่ำเมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ เดือนก.ย.2562 อยู่ที่ 1.79 เท่า หลังจากเสนอขายหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) อัตราส่วนปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยจากการจ่ายเงินปันผลจำนวน 1.3 หมื่นล้านบาทให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ก่อนการเสนอขายหุ้น บริษัทยังคงขยายธุรกิจในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวจากการใช้หนี้ในการลงทุนในสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ทริสจึงคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินฯจะสูงขึ้น แต่ในระยะยาวน่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 2.5 เท่า มีปัจจัยเกื้อหนุนจากเงินสดที่จัดเก็บได้อย่างสม่ำเสมอที่สามารถนำมาชำระคืนหนี้ได้บางส่วน ขณะที่ส่วนของทุนเพิ่มขึ้นจากกำไรที่ได้รับ ขณะที่ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่ยังไม่เพียงพอจากการปรับใช้มาตรฐานบัญชี TFRS9 นั้นจะถูกหักออกจากส่วนของผู้ถือหุ้นโดยตรง ซึ่งผลกระทบที่จะมีต่อส่วนทุนของบริษัทนั้นไม่มีนัยสำคัญ

รายได้หลักเกิดจากเงินสดที่เก็บได้จากการบริหารจัดการลูกหนี้และทรัพย์สินรอการขาย ณ เดือนก.ย.2562 รายได้จากสินทรัพย์ด้อยคุณภาพคิดเป็น 85% ของรายได้รวม ส่วนอีก 14% มาจากทรัพย์สินรอการขาย ทั้งนี้ รายได้ส่วนใหญ่มาจากสินทรัพย์ที่ซื้อมาแล้วมากกว่า 5 ปีที่แล้วหรือนานกว่านั้น จากสถิติที่ผ่านมา บริษัทใช้เวลาในการเริ่มสร้างกำไรจากสินทรัพย์ประมาณ 7 ปี สำหรับลูกหนี้ด้อยคุณภาพและ 5 ปี สำหรับทรัพย์สินรอการขาย

ค่าใช้จ่ายหลักในการดำเนินงาน คือดอกเบี้ยจ่ายและค่าใช้จ่ายบุคลากร ในช่วง 9 เดือนแรก คิดเป็นอัตราส่วนประเภทละ 17% ของรายได้รวม อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมเฉลี่ย (ROA)อยู่ที่ระดับ 5.7% สำหรับ 9 เดือน หลัง IPO ทริสฯคาดว่าจะลดลงต่ำกว่าระดับ 5% จากภาระจ่ายภาษีนิติบุคคล และบริษัทจะมีแรงกดดันจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม รายได้จากธุรกิจหลักยังคงอยู่ในระดับที่ดี

บริษัทมีแหล่งเงินทุนที่มั่นคงและกระจายตัวจากสถาบันการเงินต่าง ๆ ส่วนใหญ่เป็นธนาคารที่ขายลูกหนี้ด้อยคุณภาพให้แก่บริษัท แม้ว่าสินทรัพย์ส่วนใหญ่จะมีสภาพคล่องที่ต่ำ แต่เงินกู้ยืมส่วนใหญ่ระยะยาว บริษัทมีวงเงินกู้ยืมระยะยาวจำนวน 5.4 หมื่นล้านบาท และยังมีการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน(P/N) ณ สิ้นปี 2562 มี P/N คงค้างประมาณ 3 พันล้านบาท บริษัทยังมีวงเงินกู้ยืมระยะสั้นประมาณ 2.9 หมื่นล้านบาท ซึ่ง 70% ของวงเงินยังไม่ได้เบิกใช้ นอกจากนี้ บริษัทยังเข้าถึงตลาดทุนโดยการออกหุ้นกู้อย่างต่อเนื่อง ณสิ้นปี 2562มีหุ้นกู้คงค้างอยู่ที่ 4.5 หมื่นล้านบาท

บริษัทไม่มีประเด็นที่น่ากังวลอย่างมีนัยสำคัญต่อความไม่สอดคล้องกันของโครงสร้างสินทรัพย์และหนี้สิน ณ เดือนก.ย. 2562 ประมาณ 77% ของเงินกู้ยืมเป็นระยะยาว มีอายุเฉลี่ยประมาณ 6 ปี เทียบกับอายุเฉลี่ยของสินทรัพย์ที่ 6-8 ปี บริษัทมีเงินกู้ยืมที่จะครบกำหนดในอีก 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ประมาน 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะจ่ายคืนโดยใช้กระแสเงินสดทริสยังคาดว่าเงินกู้ระยะสั้นส่วนใหญ่จะยังได้รับการกู้ยืมใหม่ต่อไป

บริษัทมีความเสี่ยงในด้านการกระจุกตัวที่ค่อนข้างมากในภาคอสังหาริมทรัพย์เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ใช้เป็นหลักประกันในลูกหนี้ด้อยคุณภาพที่บริษัทลงทุน ดังนั้น สภาวะตลาดอสังหาฯ จึงอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลประกอบการ จากราคาและความสามารถในการขายอสังหาที่ได้บังคับหลักประกันมา แต่ทริสฯเชื่อว่าการกระจายตัวของสินทรัพย์ทั้งในด้านประเภทและสถานที่ตั้งจะช่วยลดความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง ณ เดือนมิ.ย.2562 อสังหา เมื่อพิจารณาจากต้นทุนคิดเป็นที่ดินเปล่าที่สัดส่วน 29% บ้านเดี่ยว 27% ส่วนที่เหลือมีการกระจายตัวที่ดีในอสังหาริมทรัพย์หลายประเภท คืออยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในสัดส่วน 45% ในเขตภาคกลาง 20% และส่วนที่เหลือกระจายไปตามภาคต่าง ๆ นอกจากนี้ บริษัทยังมีการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ใหม่ทุก ๆ ปีเพื่อช่วยให้บริษัทตั้งราคาขายสินทรัพย์ได้ใกล้เคียงกับราคาตลาดมากที่สุดด้วย

ส่วนแนวโน้มการดำเนินงานในปี 2563-2565 ทริสตั้งสมมุติฐาน การซื้อลูกหนี้ด้อยคุณภาพใหม่จะอยู่ที่ระดับ 1.1-1.3 หมื่นล้านบาทต่อปี  อัตราส่วนหนี้สินฯ อยู่ที่ประมาณ 2เท่า
อัตราส่วนเงินสดที่เก็บได้จากการบริหารสินทรัพย์ต่อสินทรัพย์รวมเฉลี่ยประมาน 13.5% ต้นทุนเงินกู้ยืมเฉลี่ย 3%อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวมจะอยู่ที่ประมาณ 30%

แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสว่าบริษัทจะรักษาผลประกอบการทางการเงินที่แข็งแกร่งและดูแลให้ระดับการก่อหนี้อยู่ในระดับต่ำเอาไว้

บล.กสิกรไทยวิเคราะห์ว่า ทริสฯประกาศอันดับเครดิตของ BAM ที่ A- ต่ำกว่าที่บล.กสิกรไทยประเมิน 1 ขั้น แต่แนะนำติดตามการประกาศของบริษัทฟิทช์ เรทติ้งส์ใน 1-2 สัปดาห์นี้ เทียบกับเรทติ้งในปัจจุบันที่ฟิทช์ฯ ให้อยู่ที่ AA- เทียบได้ว่าเรทติ้งปรับลดลง 3 ขั้น ซึ่งมากกว่าประมาณการของเราที่ 2 ขั้น แต่บล.กสิกรไทยยังไม่ได้รวม upside เรื่องการลดลงของดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% คาดไม่มีผลกระทบต่อกำไรอย่างมีนัยยะ แนะดูการประกาศของฟิทช์ (ไม่จำเป็นต้องเท่าทริส ) แต่หากเท่ากันและราคาต่ำกว่า 25 บาท “มองเป็นโอกาสซื้อ”